ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก 2013

บทสรุป

     ตั้งแต่โบราณกาลมา ตราบจนกระทั่งวินาทีนี้ " กฎแห่งกรรม"  ยังคงปรากฎให้เห็นกระจ่างชัด ไม่เคยปิดบังอำพราง ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุผล ประจักษ์พยานมีให้เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตาทุกคน แล้วยังจะมีอะไรที่ต้องลังเลสงสัยอีกหรือ?      ทุกวันนี้ทั่วทั้งโลกต่างรบราฆ่าฟันกัน จนแม้แต่อาหารก็ไม่มีจะกิน ภัยพิบัติมากมายก็กระหน่ำซ้ำเติมไม่หยุด ผู้มีญาณปัญญาทั้งหลายล้วนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า " เพราะการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนั่นแหละ!" หาใช่ ผีสาง เทวดา เจ้าป่าเจ้าเขา ลงโทษไม่ แท้จริงภัยพิบัติทั้งหลายเป็นผลจากความชั่วที่มนุษย์เป็นผู้ก่อไว้เองทั้งสิ้น      พระอริยะเจ้าทุกพระองค์ เมื่อบรรลุสัจธรรมยิ่งใหญ่แล้วมีพระองค์ใดบ้างที่ไม่สอนให้มนุษย์เว้นจากการ "ฆ่า"       อาศัยเมตตาธรรมเท่านั้นจึงสามารถค้ำจุนให้โลกนี้สงบลงได้ หากมีคนหนึ่งที่ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ก็จะต้องมีหนึ่งคนที่รอดพ้นภัยพิบัติไปได้ หากมีหนึ่งครอบครัวที่ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตก็จะมีหนึ่งครอบครัวที่รอดตาย หากมีหนึ่งตำบล...หนึ่งอำเภอ...หนึ่งประเทศที่ไม่คิดฆ่าผลก็เป็นเช่นเดียวกันคือ "ไม่ตายเพราะบาปกรรม"  คนที่ไ

เมตตาธรรมค้ำจุนโลก

     ในสมัยราชวงศ์ หมิง มีนักปฏิบัติธรรมผู้หนึ่ง นามว่า หวง จี่ ซื่อ แม้ว่าในขณะนั้นแผ่นดินจะร้อนระอุไปด้วยเภทภัยรอบด้าน ผู้คนล้มตายลงอย่างน่าอนาถ แต่เขาก็ยังมุ่งมั่นสร้างความดี โดยมิได้หวั่นไหวแม้แต่น้อย      จิตใจของ หวง จี่ ซือ มีแต่ความเมตตาห่วงใย เอื้ออาทรต่อทุกชีวิต เขาทราบว่าบนเขามีพระสงฆ์ผู้ซึ่งบรรลุธรรมสูงสุดสามารถหยั่งรู้ฟ้าดินและเหตุการณ์ความเป็นไปทั้งหลายในโลก หวง จี่ ซือ ผู้บำเพ็ญธรรมจึงเดินทางขึ้นเขาเพื่อขอคำชี้แนะจากท่าน เขาได้กราบนมัสการถามพระอริยสงฆ์องค์นั้นว่า       "ข้าแต่พระคุรเจ้าผู้สูงยิ่งด้วยบารมีธรรม เวลานี้ผู้คนนับล้านล้มตายลงมากมายเนื่องด้วยภัยพิบัตินานับประการ ยากที่จะมีใครรอดพ้นได้ ขอพระคุณเจ้าได้โปรดเมตตาชี้แนะวิธีที่สามารถจะหยุดยั้งมหันตภัยนั้นให้ได้ทันการ ด้วยเถิด"       พระคุณเจ้าผู้เปี่ยมด้วยเมตตา ดวงหน้าของท่านมีรอยยิ้มปรากฎขึ้นพร้อมกับกล่าวว่า      " มีอย่างเดียว...อย่าฆ่าสัตว์! จงช่วยกันปลดปล่อยชีวิตสัตว์ทั้งหลายเถิด"       กล่าวจบ ท่านก็หลับตาลงนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรอีกเลย

วงเวียนกรรม

     สมุดบันทึกการเข่นฆ่าของ หวง เสียง ฝ่าน เขียนเล่าว่า       "เวลานี้บ้านเมืองเกิดกลียุคจิตใจของผู้คนต่ำ ไม่ว่าจะไปทิศทางไหน ก็พบแต่การกระทำที่เหี้ยมโหด ทุกแห่งหนมีแต่ปล้น ฆ่า ฟันแทง แก่งแย่งชิงความเป็นใหญ่ มุ่งประหัตประหารซึ่งกันและกัน ผู้คนล้มตายกลาดเกลื่อนราวกับชีวิตไร้ค่า คนเห็นคนเหมือนไม่ใช่คน ฆ่าฟันกันได้เหมือนผักปลา ความหายนะปกคลุกไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ทั้งเด็กเล็กผู้ใหญ่หนุ่มสาวและคนชราต่างมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความมืดมนอันน่าสะพรึงกลัว..."      ในขณะนั้น มีบัณฑิตคนหนึ่งนามว่า หลี่ เผย เต๋อ มีชีวิตอยู่เห็นเหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้น ก็ได้แต่รำพึงด้วยความสลดหดหู่ใจว่า "ไม่น่าเกิดเรื่องเช่นนี้ในโลกนี้เลย...ไม่น่าเลย..."       ต่อมาเขาได้ฝันว่าบนเขาสูงมีนักพรตผู้สำเร็จธรรมแล้วท่านหนึ่งมีนามว่า "กวน หลิน เต้า จ่าง" บัณฑิตผู้ต้องการค้นหาคำตอบจึงดั้นด้นปีนขึ้นไปบนภูเขา เมื่อพบท่านนักพรตแล้วเขาก็กราบนมัสการเรียนถามท่านว่า       "เหตุใดในสากลโลกนี้ มนุษย์จะต้องพานพบกับชะตากรรมอันเลวร้าย "ฉนคนดีๆจึงต้องล้มตายลงอย่างน่าอนาถเช่นนี้เล่า?&quo

เซ่นไหว้ให้ถูกต้อง

     พระอาจารย์ เหลียนฉือ ต้า ซือ ผู้เปี่ยมด้วยเมตตาจิตขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ได้บันทึกเรื่องราวไว้ว่า       ที่มณฑล จือ เจียง มีชายคนหนึ่งแซ่ จิน ได้ล้มป่วยมานานแต่ก่อนที่เขาจะตายได้กินเจอยู่ระยะหนึ่ง หลังจากที่ตายไปแล้วคนแซ่จินได้มาเข้าฝันเด็กคนหนึ่งว่า       "ข้าบำเพ็ญความดีได้ไม่นานเลย เมื่อตายแล้ววิญญาณจึงไม่สามารถไปสู่สุคติภพ แต่ก็มีอิสระสามารถไปไหนได้อย่างเสรี"   เด็กชายคนนั้นจึงนำเรื่องที่ฝันไปเล่าให้ภรรยาคนแซ่จินฟัง      ด้วยความห่วงใย ภรรยาของนายจินคิดอยากเซ่นไหว้ให้แก่สามี จึงจัดแจงฆ่าไก่ทำเป็นอาหาร แล้วนำไปเซ่นไหว้ที่หลุมฝังศพ      แต่แล้วในคืนวันนั้นเอง นางก็ฝันเห็นสามี มาปรากฎตัวด้วยท่าทางที่ขึงขัง พร้อมกับกล่าวตำหนินางว่า       "ทำไมเจ้าจึงต้องฆ่าไก่มาเซ่นไหว้ข้า? ข้าไม่ต้องการเลย!      ก่อนหน้านี่ข้ามีอิสระไปไหนมาไหนอย่างเสรีแต่พอเจ้าฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาเซ่นไหว้ที่หลุมฝังศพข้าแล้ว ตัวข้าต้องถูกยมฑูตในนรก คอยติดตามตวบคุมอยู่ตลอดเวลา ไม่อิสระเหมือนแต่ก่อน เจ้าไม่น่าทำเช่นนี้เลย!"       ในความฝันขณะที่คนแซ่จินกำลังจะจากไป ภรรยาของเขาซ

อานิสงส์ของการกินเจ

     ที่ตำบล อู๋ สี เสี้ยน มีชายคนหนึ่งเดินทางจากเมืองไกล เพื่อมาเยี่ยมญาติของเขาในชนบท ด้วยความดีอกดีใจที่นานแล้วไม่ได้พบกัน ญาติของเขาจึงกุลีกุจอจัดแจงสั่งให้ภรรยาเอาแม่ไก่ไปฆ่าทำเป็นอาหารมาเลี้ยงต้อนรับ      แต่ทันทีที่ได้ยินดังนั้น ชายคนนี้ก็บังเกิดเมตตาจิตรู้สึกสงสารที่ชีวิตผู้อื่นจะต้องมาตายเพราะตนเป็นต้นเหตุ เขาจึงแสร้งพูดขึ้นว่า       "ข้าพเจ้ากินเจ...ไม่กินเนื้อสัตว์ ท่านอย่าฆ่าเลย!" เจ้าของบ้านจึงงดฆ่าไก่ แล้วจัดเตรียมอาหารเจ และผลไม้มาต้อนรับแทน ตลอดเวลา ๓ วันที่พักอยู่บ้านญาติ ทั้งตัวเขาและญาติๆทุกคน จึงต้องงดกินเนื้อไปโดยปริยาย เช้าวันต่อมาเขาก็ได้อำลากลับแต่เส้นทางที่จะกลับบ้านนั้น บางช่วงต้องอาศัยเรือโดยสารข้ามฟาก ขณะที่เขาก้าวขึ้นไปนั่งรอให้เรือออกเดินทาง ทันใดนั้นเองก็มีชายชราผมขาวโพลนท่านหนึ่ง มายืนร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่า       "หยุดก่อน! บนเรือมีชายคนหนึ่งพูดโกหกหลอกคนอื่นให้เชื่อว่า เขาเป็นคนกินเจ เป็นตายอย่างไรก็อย่าให้เขาข้ามฟากไปด้วยเด็ดขาด!" ผู้โดยสารทั้งหมดในเรือต่างงุนงงต่อคำพูดของชายชราที่ยืนอยู่บนฝั่งและสอบถามกันว่า "

ปล่อยสัตว์ตอบแทนพระคุณครู

     ท่าน วัง กง หวาง เป็นครูที่ใช้ชีวิตสมถะ ท่านกินอยู่ใช้จ่ายอย่างประหยัดมาก แต่ไม่ว่าจะเป็นวันปีใหม่ วันพระ วันสารท วันเกิด หรือแม้แต่วันธรรมดา หากท่านพบเห็นสัตว์อะไรก็ตามที่ถูกจับมาขาย คุณครูท่านนี้จะต้องซื้อไปปล่อยทันที      จนกระทั่งในปีหนึ่ง เป็นวันคล้ายวันเกิดของท่าน บรรดาลูกศิษย์มากมายที่สำนึกในพระคุณ เห็นว่าท่านอาจารย์วัง กง หลาง ชรามากแล้วจึงคิดจะจัดงานฉลองใหญ่เพื่อเป็นเกียรติแก่ท่าน ลูกศิษย์ทั้งหมดเสนอให้มีการจัดเลี้ยงอาหารและว่าจ้างคณะนักแสดงมาให้ความบันเทิงในงานด้วย      ครั้นอาจารย์ วัง กง หลาง ทราบเรื่อง จึงเรียกลูกศิษย์ทั้งหมดมาชุมนุมกันในเย็นวันนั้น แล้วพูดขึ้นว่า       "ครูรู้ดีว่า ลูกศิษย์ทุกคนอยากจะแสดงน้ำใจกตัญญูต่อครู แต่การจัดงานเลี้ยงนั้นมันสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ หากจะตอบแทนครูจริงๆแล้วล่ะก็ ควรนำเงินทั้งหมดไปซื้อสัตว์ปล่อยดีกว่า ทำเช่นนี้...ครูจะมีความสุขกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด"      ลูกศิษย์ทุกคนได้ยินเช่นนั้นแล้วต่างซาบซึ้งใจในคำพูดของท่าน เหตุนี้เองในวันคล้ายวันเกิดของท่านอาจารย์ในปีนั้น บรรดาลูกศิษย์ทุกรุ่นจึงพร้อมใจกันบริจาคเงินซื้อสัต

สร้างบุญสลายบาป

     ที่อำเภอ เห่อ ไป่ มีนักศึกษาคนหนึ่งชื่อ เมิ่ง เจ้า เสียง กำลังจะไปสอบแข่งขัน แต่สุขภาพของเขาย่ำแย่อ่อนแอมาก มีโรคประจำตัวคือขับถ่ายไม่ปกติและอาการอยู่ในขั้นร้ายแรง      คืนหนึ่งเขาฝันว่าได้ลงไปในนรกภูมิ ณ.ที่นั้นพระยามัจจุราชผู้เป็นใหญ่บอกแก่เขาว่า       "บรรพบุรุษของเจ้าหลายชั่วคนมาแล้ว ทุกคนล้วนมีแต่โรคภัยเบียดเบียน สุขภาพไม่ดี พ่อและปู่ของเจ้าก็มีอาการไม่ต่างจากตัวเจ้าเลย สุดท้ายต้องท้องร่วงจนตาย เจ้ารู้หรือไม่ว่าชีวิตของเจ้าจะสิ้นสุดเมื่อไหร่และจะจบลงด้วยอาการอย่างไร?"       เมิ่ง เจ้า เสียง ก้มหน้านิ่งเงียบไม่กล้าตอบ พระยามัจจุราชเจ้าแห่งนรกภูมิจึงกล่าวต่อไปว่า       "ทั้งปู่และพ่อของเจ้า ขณะที่มีชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมากมายเหลือเกิน ฉะนั้นกฎแห่งกรรมจึงส่งผลให้เขาทั้งสองต้องจบชีวิตลงอย่างนั้น      ส่วนตัวเจ้าสุขภาพไม่ดีมาตั้งแต่เกิด ก็เพราะมีหนี้สินบาปเวรติดตามมาตั้งแต่ชาติปางก่อน ต่อไปนี้หากเจ้าหยุดฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และนำความฝันนี้ไปเผยแพร่พิมพ์เป็นหนังสือออกแจกจ่ายช่วยให้คนในโลกมนุษย์หันมาสร้างความดี ปล่อยสัตว์เลิกเบียดเบียนชีวิตผ

หมอที่แท้จริง

     ที่มณฑล จื่อ เจียง มีนายแพทย์ท่านหนึ่งแซ่ หวัง นามว่า ซิ้ว เหยียน เป็นผู้เชี่ยวชาญในการรักษาโรคต่างๆ จนชื่อเสียงเกียรติคุณของท่านเลื่องลือไปทั่ว      ครั้งหนึ่งมีคนไข้หน้าตาอัปลักษณ์น่ากลัวมากคนหนึ่ง มาขอรับการรักษาจากคุณหมอหวัง ตั้งแต่เดินเข้ามาเขาร้องครวญครางไม่หยุด เมื่อคุณหมอตรวจดูตามร้างกายก็พบว่า ตรงกลางแผ่นหลังของคนไข้ผู้นั้นมีฝีขนาดใหญ่มาก! มันปูดนูนขึ้นจนเกือบเท่ากะลามะพร้าวและรอบๆฝีใหญ่ก็มีฝีเม็ดเล็กๆ มากมายกระจายอยู่เป็นวงกว้าง      ชายคนนี้อาการน่าเป็นห่วงมาก ฝีที่เป็นอยู่ใกล้จะแตกเต็มทีแล้ว คุณหมอหวังรู้สึกหนักใจไม่น้อย ท่านจึงได้สอบถามเขาว่า       "ทุกวันนี้เธอทำมาหากินอะไร? ขอให้บอกมาตรงๆน่ะ" ชายผู้นั้นตอบว่า      " กระผมเป็นคนทำปืนสำหรับยิงนก ตอนกลางคืนก็จะออกไปซุ่มดักจับนกเพื่อนำไปขาย...ขอรับ" คุณหมอหวังได้ยินคำตอบเช่นนั้นแล้วจึงอธิบายให้เขาฟังว่า       "โรคที่เธอเป็นอยู่ขณะนี้ ตั้งแต่โบราณเรียกขานว่า "โรคฝีร้อยวิหกล้อมราชา" โดยทั่วไปพบเห็นน้อยมาก หมอเชื่อว่ามันเกิดขึ้นกับเธอ ก็เพราะกรรมชั่วที่ตัวเธอได้สะสมไว้ตั้ง

มุ่งมั่นตั้งใจจริง

     เฉิน ซิง ถั่น เป็นผู้ช่วยนายอำเภออยู่ในมณฑล ฝู่ โจว ตอนหนุ่มๆ ก่อนที่จะสอบเข้ารับราชการ เขากับเพื่อนๆนักศึกษาที่มาจากอำเภอ ซีหู กำลังจะพากันไปกินเลี้ยงที่ร้านอาหารในเมือง      เมื่อมาถึงหน้าร้านอาหารขณะที่ทุกคนกำลังจะเดินเข้าประตู เฉิน ซิง ถั่น เห็นชายคนหนึ่งใช้ไม้ตีวัวไม่หยุด แต่ไม่ว่าจะตีเท่าไหร่วัวก็ไม่ยอมไป เขาจึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ก็เห็นวัวตัวนั้นสองแก้มเปียกชุ่ม น้ำตาร่วงร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ตลอดเวลา มันคงรู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน      นักศึกษาหนุ่ม เฉิน ซิง ถั่น ยืนนิ่งด้วยความสงสาร สักครู่เมื่อคิดขึ้นได้เขาจึงเอ่ยถามชายเจ้าของวัวให้รู้ว่า จะต้องใช้เงินสักเท่าไรเพื่อซื้อวัวตัวนั้นครั้นตกลงราคากันเรียบร้อยแล้ว เฉิน ซิง ถั่น จึงเดินกลับมาคุยกับเพื่อนๆ ที่รอเขาอยู่ว่า       "ที่พวกเราเตรียมตัวกันมากินเลี้ยงในวันนี้ มีเงินกันคนละเท่าไร?       ข้าพเจ้าอยากขอเรี่ยรายรวบรวมจากทุกคน       เพื่อนำไปซื้อวัวที่กำลังจะถูกส่งไปฆ่า หวังว่าเพื่อนๆ ทั้งหลายจะร่วมจิตร่วมใจกันสร้างความดีสักครั้ง       หนึ่งจะดีไหม ไม่รู้ว่าทุกคนจะคิดอย่างไร?"       เพื่อนนักศ

เราช่วยเขา เขาช่วยเรา

         ในอดีตมีบัณฑิตผู้ใจบุญสุนทางคนหนึ่ง นิสัยของเขาโอบอ้อมอารีเมตตา ชอบช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ      วันหนึ่ง ขณะที่เขาไปเยี่ยมครอบครัวของญาติก็พบว่าแม่สุนัขในบ้านหลังนั้น เพิ่งจะคลอดลูกออกมา ๔ ตัว แต่ญาติของบัณฑิตผู้นี้เชื่อถือโชคลางเสียจนขาดเหตุผล ปล่อยให้ความหลงงมงายเข้าครอบงำมโนธรรมสำนึกแห่งเมตตาไปเสียสิ้น เขาเชื่อว่าสุนัขที่คลอดลูก ๔ ตัวเป็นอัปมงคลและเตรียมจะนำลูกสุนัขทั้งหมดไปโยนทิ้งแม่น้ำ      เมื่อบัณฑิตผู้ใจบุญทราบเรื่อง ก็รู้สึกสงสารลูกสุนัขทั้งสี่ที่กำลังน่ารัก ซึ่งเพิ่งจะเกิดมายังไม่ทันลืมตามองดูโลก กลับต้องถูกฆ่าโดยปราศจากความผิด มันไม่ถูกต้องเอาเสียเลย คิดเช่นนี้แล้วบัณฑิตท่านนี้จึงขอลูกสุนัขทั้ง ๔ ตัวเพื่อนำกลับไปเลี้ยงที่บ้านของตน โดยมิได้ใส่ใจในคำทักท้วงว่า " ไม่เป็นสิริมงคล" แต่อย่างไร      ด้วยความรักและการเอาใจใส่เลี้ยงดูอย่างมีเมตตา ลูกสุนัขทั้ง ๔ ตัวนับวันก็โตขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆตัวต่างรักและซื่อสัตย์ต่อเจ้านายของมันมาก      และแล้วเย็นวันหนึ่งเวลาจวนใกล้ค่ำ ขณะที่บัณฑิตกำลังจะเดินกลับบ้านเขาสังเกตเห็นต้นหญ้าหน้าประตูบ้านเอนล้มยุ่งเหยิง สักครู่ก

สื่อกันด้วยใจ

     ในปลายสมัยราชวงศ์ ชิง ประเทศจีนเกิดสงครามใหญ่บ้านเมืองวุ่นวายระส่ำระส่ายไปทั่วทุกแห่งหน เวลานั้นมีผู้บัญชาการทหารท่านหนึ่ง แซ่ ถัง นามว่า อี้ อัน ได้รับคำสั่งยกกำลังโดยทางเรือไปช่วย กองทหารของท่าน ฉี่ ซู่ เหยิน หลังจากเสร็จสิ้นภาระกิจเรียบร้อยแล้ว ระหว่างที่ถังอี้อัน ยืนอยู่บนเรือเพื่อเดินทางกลับ จิตใจของท่านห่วงใยคิดถึงน้องชาย ซึ่งเป็นทหารประจำการอยู่ที่เซี้ยเหมิน      ขณะนั้นเองมีชาวประมง ๔ คน จับตะพาบยักษ์มาได้ตัวหนึ่งท่านผู้บัญชาการทหารเห็นแล้วรู้สึกสงสาร เมื่อเจรจาไต่ถามเพื่อขอซื้อไปปล่อย แต่ชาวประมงเรียกราคาสูงลิบลิ่ว ท่านจึงปรึกษากับภรยาว่าจะซื้อดีหรือไม่ คุณนายผู้เป็นภรรยาก็ไม่อยากซื้อเพราะราคาแพงเหลือเกิน      ขณะที่ทั้งสองกำลังจะปฏิเสธ อยู่ๆ ตะพาบน้ำยักษ์ตัวนั้นก็มีน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด ภรรยาของท่านผู้บัญชาการเห็นแล้วรู้สึกเวทนาสงสารจับใจ จึงตัดสินใจซื้อตามราคาที่ถูกเรียกร้อง       ท่าน ถัง อี้ อัน และภรรยาให้คนช่วยอุ้มตะพาบน้ำยักษ์ไปที่ข้างเรือ ขณะนั้นเองท่านได้พูดขึ้นว่า       "ตัวเจ้าถึงแม้จะเกิดเป็นสัตว์แต่ก็มีชีวิตจิตใจ ฉันห่วงใยชีวิตเจ้าเช่นเดียวกั

ลูกกบร้องทุกข์

     ท่าน จาง กง รับราชการอยู่ในอำเภอ เส้า ซิน มณฑลจื่อ เจียง ต่อมาได้ดำรงตำแหน่งเป็นนายอำเภอ      มีอยู่คราวหนึ่ง ท่านต้องย้ายจากอำเภอ เส้า ซิน ไปอยู่อำเภอ ซิน หัว ระหว่างเดินทางต้องผ่านที่เปลี่ยวมาก ไม่มีบ้านเรือนผู้คนเลย ขณะนั้นเองท่าน จาง กง ก็ได้ยินเสียงร้องดังระงงไปทั่ว ฟังดูราวกับเสียงคร่ำครวญขอความช่วยเหลือท่านรู้สึกแปลกใจจึงสั่งให้หยุดขบวนเกี้ยวเดินทางเพื่อลงไปดู ก็พบว่ามันเป็นเสียงของลูกกบจำนวนมากมาย ลูกกบตัวเล็กๆเหล่านั้นกระโดดขึ้นมาบนถนนและเต้นไปข้างหน้าเรื่อยๆ ประหนึ่งว่ามันพยายามจะให้คนติดตามไป      ท่าน จาง กง และคนอื่นๆ จึงเดินตามลูกกบเหล่านั้นไปจนกระทั่งมาหยุดลงที่ริมคันนาแห่งหนึ่ง ทันใดนั้นทุกคนก็พบร่างของชาย ๓ คนนอนทับกันอยู่ ท่านนายอำเภอได้สั่งให้ผู้ติดตามช่วยกันนำพวกเขาขึ้นมา ปรากฎว่า ๒ คนแรกตายไปเสียแล้ว แต่ชายคนที่ถูกทับอยู่ล่างสุดยังมีลมหายใจอยู่ ทั้งหมดจึงช่วยกันแก้ไขจนกระทั่งฟื้นขึ้นมาได้      หลังจากที่ชายผู้นั้นได้จิบน้ำอุ่นๆ และรู้สึกสบายดีแล้ว เขาก็คุกเข่าคารวะกราบของคุณท่าน จาง กง พร้อมกับเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟังว่า       "ข้าพเจ้า

มิใช่แค่ความฝัน

     หมู่บ้านแถบริมน้ำในมณฑล เจียงซู ผู้คนส่วนใหญ่หาเลี้ยงชีพด้วยการจับสัตว์น้ำ ไปขาย       ในหมู่บ้านนั้นมีเศรษฐีคนหนึ่ง แซ่ เจา ชอบกินเนื้อตะพาบน้ำที่สุด เขามักจะออกปากชักชวนชาวบ้านให้จับตะพาบน้ำตัวใหญ่ๆ พร้อมกับสัญญาว่าจะรับซื้อโดยให้ราคาสูง ดังนั้นชาวบ้านทั้งหลายจึงแห่กันไปจับตะพาบน้ำเพื่อนำไปขายให้แก่เศรษฐีเจา ทุกวัน      อยู่มาวันหนึ่ง เศรษฐีเจาหลับฝันว่า ได้ไปถึงศาลแห่งหนึ่ง ณ ที่นั้นมีวิญญาณของชายคนหนึ่ง กำลังฟ้องร้องเขาต่อพญายมที่ประทับอยู่เหนือบัลลังก์ว่า       "ข้าผู้น้อยได้ไปเกิดเป็นตะพาบน้ำเพื่อชดใช้กรรม ตลอดเวลาจึงตั้งใจบำเพ็ญภาวนาจำศีลอยู่ในถ้ำใต้น้ำ ไม่เคยมีเรื่องกับเศรษฐีเจาเลย แต่เขาเป็นคนมั่งมีร่ำรวยเสียเปล่า กลับไม่รู้จักสร้างบุญกุศล ทุกวันคิดหาแต่เรื่องกิน ร้ายยิ่งกว่านั้นยังชักชวนให้ผู้อื่นจับพวกเราไปขาย ตลอดเวลาชายผู้นี้ฆ่าลูกหลานของข้าผู้น้อยตายไปมากมายจนนับไม่ถ้วน นรกภูมิจะปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่อีกหรือ?"      เศรษฐีเจา ได้ยินเช่นนั้นก็กลัวจนตัวสั่น ไม่กล้าโต้แย้งแต่อย่างใด รีบคุกเข่าโขกศีรษะต่อวิญญาณของชายผู้นั้น ระล่ำระลักวิงวอนว่า    

ผลกรรมจากอดีต

     ชายชราแซ่ ฉวี่ ใครๆ เรียกเขาว่า เหลาฉวี่ ทำงานเป็นคนรับใช้ในบ้านสกุล เกา ลุงฉวี่เป็นคนซื่อสัตย์ ขยันและมัธยัสถ์ จากคุณสมบัติที่ดีเหล่านี้จึงเป็นที่ไว้วางใจของท่านเจ้าของบ้าน ลุงฉวี่ได้รับหน้าที่พ่อบ้านคอยดูแลความเรียบร้อยทุกอย่างในบ้านสกุลเกา คนรับใช้ทุกคนต่างก็เคารพรักและเชื่อฟังเขาเป็นอย่างดี      วันหนึ่งสายมากแล้วเกือบเที่ยงวัน ลุงฉวี่ก็ยังไม่ยอมออกจากห้อง คนในบ้านจึงไปเคาะประตูเรียกอยู่นาน ลุงฉวี่ถึงจะเปิดประตู ท่าทางของเขาอิดโรยอ่อนเพลียเหมือนไม่ได้หลับไม่ได้นอน ครั้นสอบถามดู ลุงฉวี่จึงเล่าให้ทุกคนฟังว่า      " เมื่อ ๓๐ ปีก่อนโน้น สมัยที่ลุงยังหนุ่มๆ อายุแค่ ๒๐ ปี ตอนนั้นอยู่ที่ตำบลตงกวน ลุงเปิดร้านขายบะหมี่ใส่ปลาไหล กิจการดีมากลุกค้าพากันอุดหนุนจนแน่นร้าน ลุงต้องฆ่าปลาไหลวันละหลายสิบกิโลทุกๆวัน ติดต่อกันมาเกือบ ๓๐ ปีไม่มีขาด สามารถเก็บสะสมเงินได้หลายหมื่นชั่งทีเดียว      ในช่วงนั้น นำ้มันยางสำหรับทาเครื่องสานราคาลดลงมาก ลุงเห็นเป็นโอกาสเหมาะจึงนำเงินที่สะสมทั้งหมดไปซื้อเพื่อหวังจะเก็งกำไร แต่ไม่นึกเลยว่าจะเกิดไฟไหม้ น้ำมันยางที่ซื้อตุนไว้ถูกไฟเผาวอดวายไม่มีเ

คนหน้าแพะ

     เซี่ย ซิ่ง กวน เป็นคนมณฑล เจียงซู ที่มีฐานะร่ำรวยพอสมควรเขาโปรดปรานเนื้อแพะที่สุด ทุกวันตอนตี ๕ เขาจะตื่นขึ้นมาฆ่าแพะกินเป็นประจำ เสียงร้องโหยหวลของแพะที่ถูกเชือดคอ ดังไปไกลจนทุกคนที่ได้ยินต่างขนลุกด้วยความสะพรึงกลัว ญาติพี่น้องพยายามบอกให้เขาเลิกฆ่าสัตว์ในบ้าน แต่ก็ไม่สำเร็จ      เซี่ย ซิ่ง กวน ไม่เคยคิดถึงความชั่วที่เขากระทำ แต่กฎแห่งกรรมไม่เคยรอให้ใครสำนึกและแล้วเมื่อผลของมันมาถึงในปีที่เขามีอายุได้ ๔๐ เซี่ย ซิ่ง กวน ก็ล้มป่วยลง ต้องหาหมอซื้อยามารักษาเป็นเวลาถึงครึ่งปี เงินทองที่มีอยู่ก็ร่อยหรอลงเกือบหมด ครอบครัวของเขาต้องลำบากยากจน และที่ร้ายยิ่งไปกว่านั้นก็คือหลังจากหายป่วยแล้ว ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป จมูกและปากยืดยาวออกมาจนหน้าตาเหมือนแพะ!      ไม่ว่าจะเดินทางไปทางไหนคนที่พบเห็นต่างเหลียวมองด้วยความหวาดกลัว แล้วพากันเรียกเขาว่า  "คนหน้าแพะ" เขารู้สึกอับอายและกลัดกลุ้มใจมาก ตัวเขาเองรู้ดีว่ากฎแห่งกรรมมาถึงแล้ว ตั้งแต่นั้นเขาก็ไม่กล้าฆ่าแพะกินอีก      แต่ผลของกรรมชั่วที่เขาทำไว้ยังส่งผลไม่หมด ปีต่อมา เซี่ย ซิ่ง กวน พยายามรวบรวมเงินจากกรขายทรัพย์สินได้มาทั้

ฟ้าพิโรธ

     ในรัชสมัยของพระถังเกาจง แห่งราชวงศ์ถัง มีหนังสือเล่มหนึ่งบันทึกไว้ว่า      ที่ริมทะเลสาบ ป๋อไห่ ข้าราชการเจ้าหน้าที่กองคลังผู้หนึ่งชื่อ ฟ่ง เหยียน เจ่อ มีหน้าที่ตรวจตราดูแลและรักษาทรัพย์สินของทางราชการ แต่เขาเป็นคนเห็นแก่กินชอบฆ่าสัตว์      คราวนั้นได้มีท่านอ๋องผู้เป็นประมุขของประเทศราชเล็กๆ เดินทางมาเข้าเฝ้าพระจักรพรรดิ์ โดยนำเอาแพะที่เลี้ยงดูอย่างดีหลายพันตัวมาถวายเป็นเครื่องราชบรรณาการแต่องค์พระจักรพรรดิ์ถังเกาจงทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาธรรมและเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา เมื่อพระองค์ทรงรับเอาไว้แล้วก็ตรัสสั่งให้นำแพะทั้งหมดไปปล่อยไว้ในเขตอภัยทาน ณ พระอารามหลวงบนภูเขา เพื่อให้มันมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างเป็นอิสระ      ไม่นึกเลยว่า ฟ่ง เหยียน เจ่อ ข้าราชการผู้มีจิตคิดละโมบเห็นแก่กิน เขาเห็นแพะเหล่านั้นอ้วนท้วนสมบูรณ์ซ้ำยังตกมาอยู่ในมือของตนแล้ว มีหรือจะปล่อยไป ด้วยความคิดที่มิชอบจึงสั่งให้ลูกน้องเอาแพะมาฆ่ากินเสียส่วนหนึ่ง ที่เหลือก็ลักลอบนำไปขายให้แกโรงฆ่าสัตว์ แล้วยักยอกเงินจำนวนมากมายที่ได้เอาไว้ โดยคิดว่าไม่มีใครจะล่วงรู้การกระทำของตน      สวรรค์มีตา!  การกระทำอันชั่วช้

ก่อนตายกลายเป็นหมา

     เฉิน หมิง เอ้ย ได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับกฎแห่งกรรม ที่เขาประสบมาว่า      แถบภูเขาทางทิศตะวันออกของมณฑล เจียง ซู เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านเล็กๆชาวบ้านส่วนใหญ่ทำไร่ไถนาด้วยความขยันขันแข็ง แต่มีพ่อค้าคนหนึ่ง ชื่อ เฉียน เหมย ซี ชอบฆ่าหมามาตุ๋นกินเนื้อเป็นประจำ แม้จะอายุมากขึ้นก็ไม่ยอมเลิก เขามักพูดว่า " เนื้อหมากินแล้วบำรุงร่างกายดี !" หมาจำนวนมากมายต้องตายด้วยน้ำมือของพ่อค้าคนนี้      จนกระทั่งปีหนึ่งในรัชสมัยของกษัตริย์ เฉียน หลง เขาก็ล้มป่วย แขนขาไม่มีเรี่ยวแรง ไม่สามารถลุกเดินไปไหนได้ ต้องนอนอยู่บนเตียงตลอดเวลา หมอผู้เชี่ยวชาญมารักษาอย่างไรก็ไม่ดีขึ้น และราวปลายเดือน ๗ ปีนั้น อาการของเฉียน เหมย ซี ก็ทรุดหนัก เขานอนกระสับกระส่าย ไข้ขึ้นสูงจนเพ้อไม่รู้ตัวละเมอพูดแต่ว่า       "หมามากมายมาเป็นฝูงๆ...มาเห่าหอนทวงชีวิตของมันคืน!..."      เฉียน เหมย ซี กลัวจนตัวสั่น ทั้งกลางวันกลางคืนร้องไห้เรียกคนช่วยไม่หยุด แต่คนในบ้านกลับมองไม่เห็นอะไรเลยจึงไม่รู้จะช่วยได้อย่างไร      ก่อนที่เขาจะตาย เขาลุกขึ้นคลานรอบๆบ้าน เห่าหอนเหมือนหมาจนคนทั้งหมู่บ้านมามุงดู เขาทั้ง

ขอกัดแค่คำเดียว

     ในแถบชนบทมณฑล เจียงซู มีชาวบ้านจำนวนไม่น้อยที่นิยมกินเนื้อหมา ชายคนหนึ่งชื่อ ไฉ่ ลิ่ว ก็เช่นกัน เขากินเนื้อหมาเป็นประจำ ตลอดเวลาที่ผ่านมา นายไฉ่ ลิ่ว ฆ่าหมามามากมายเหลือเกิน      จนกระทั่งปีหนึ่งในรัชกาลของกษัตริย์ เฉียน หลง ตอนพลบค่ำ ไฉ่ ลิ่ว ได้ฆ่าหมาตัวหนึ่ง เสร็จแล้วนำไปใส่ไว้ในอ่างไม้ กำลังเทน้ำร้อนลงไปลวกเพื่อถอนขน ทันทีที่ร่างของหมาถูกน้ำเดือดลวกมันกลับกระโจนขึ้นมากัดมือของเขาจนจมเขี้ยว แล้วแน่นิ่งไปไม่ยอมปล่อย ไฉ่ ลิ่ว ร้องตะโกนเสียงดังลั่น ด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส      ชาวบ้านใกล้เคียงรีบวิ่งมาดูหลายคนใช้ไม้ทุบตีร่างของหมาทั้งๆที่มันตายแล้ว แต่ยิ่งตีก็เหมือนว่าเขี้ยวที่งับมืออยู่ ยิ่งกัดฝังแน่นลงไปทุกที ไม่ว่าจะช่วยกันงัดเท่าไรก็ไม่สำเร็จ      ไฉ่ ลิ่ว เจ็บปวดสุดขั้วหัวใจ เขาดิ้นทุรนทุรายอยู่นานจนขาดใจตาย! แต่ช่างน่าแปลกประหลาด...พอคนตายปากของหมาที่ตายแล้วก็อ้าออกมาได้เอง!      เรื่องราวของคนที่ชอบกินเนื้อหมา มีมากมายเสียจนเขียนเล่าได้ไม่รู้จักจบ แต่ไม่ว่ากี่รายสุดท้ายก็ต้องจบชีวิตลงอย่างน่าอนาถเหมือนกันทุกรายไป

แส้อาญาสิทธิ์

     ครั้งหนึ่งที่มณฑล เยี่ยตง มีผู้บัญชาการทหารคนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่กำยำล่ำสัน เขาสามารถต่อสู้และเอาชนะคนนับสิบได้โดยลำพัง ยามว่างเขามักจะอ่านหนังสือแต่งกาพย์กลอนหรือไม่ก็ฝึกเขียนพู่กัน      ผู้บัญชาการทหารคนนี้ มีความรู้ความสามารถรอบด้านแต่เสียอย่างเดียวที่เขาชอบกินเนื้อหมา ทุกมื้อนายทหารผู้นี้จะต้องสั่งให้พ่อครัวทำอาหารด้วยเนื้อหมาแล้วกินอย่างเอร็ดอร่อย      ดังนั้นไม่ว่าเขาจะเดินไปทางไหน บรรดาสุนัขทั้งหลายก็จะตามเห่าหอนไปตลอดทาง ต่อมาผู้บัญชาการทหารคนนี้ ได้ย้ายไปประจำการอยู่ที่มณฑล ฝู่เจี๋ยน      วันหนึ่งหลังจากที่ได้ไปตรวจดูความสงบเรียบร้อยของกองทหารบนภูเขา วู่ อี๋ ซึ่งก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว บรรดาทหารชั้นผู้น้อยสืบทราบมาว่า หัวหน้าของตนโปรดปรานเนื้อหมาเป็นที่สุด จึงฆ่าหมาปรุงอาหารพร้อมทั้งจัดสุราอย่างดีมาเลี้ยงต้อนรับกันบนเรือต่างดื่มกินกันอย่างสนุกสนานครื้นเครง      เช้าวันรุ่งขึ้น ลูกน้องทั้งหลายก็อาสานำเจ้านายที่เพิ่งจะย้ายมาใหม่ ออกไปเดินชมสถานที่ต่างๆเมื่อผ่านมาถึงวัดแห่งหนึ่ง ผู้บัญชาการทหารนึกอยากจะเข้าไปเที่ยวชม แต่ขณะที่กำลังจะก้าวข้ามธรณีประตูใหญ่ของวัด ทันใ

เคล็ดวิธีสู่ความเจริญรุ่งเรือง

     สมุดบันทึกของ เหลียง จิ้ง สู เขียนเล่าว่า      บรรพบุรุษของนายอำเภอ ทุ้ย อัน ชอบสร้างกุศลแจกจ่ายเสื้อผ้าอาหารและยารักษาโรคให้แก่ผู้ที่ขาดแคลนคนยากจน ตลอดชีวิตของบรรพบุรุษในแต่ละรุ่น ไม่เคยฆ่ามีแต่จะช่วยปลดปล่อยชีวิตสัตว์ทั้งหลายให้รอด ทุกครั้งที่ทำพิธีเซ่นไหว้บรรพชนหรือจัดงานเลี้ยงแขกเหรื่อก็จัดทำแต่อาหารเจไม่เคยใช้เนื้อสัตว์เลย      ครั้งหนึ่ง เพื่อนฝูงได้ให้ปูที่ยังมีชีวิตอยู่ ๒ ตะกร้าเต็มๆปูเหล่านั้นตัวอ้วนใหญ่ คนที่เห็นต่างพากันน้ำลายไหลด้วยความอยากกิน แต่ท่าน ทุ้ย อัน กลับนำปูที่ได้ไปปล่อยลงในแม่น้ำเสียทั้งหมด      ในขณะนั้นมีชายคนหนึ่งเห็นท่าน ทุ้ย อัน กระทำเช่นนั้นก็รู้สึกชื่นชมจึงได้กล่าวกับท่านว่า       "ความประพฤติของท่านเหมือนกับท่าน จาง ฟ่ง วง ไม่มีผิด ท่านเป็นบิดาของ จาก ซื่อ หลาง ซึ่งขณะนี้รับราชการอยู่ เพราะเหตุนี้ท่าน จาง ฟ่ง วง ชอบทำบุญสร้างกุศลปล่อยสัตว์มาโดยตลอด จึงส่งผลให้ จาง ซื่อ หลาง และลูกๆทุกคนมีอำนาจวาสนา เป็นข้าราชการที่ซื่อสัตย์จงรักภัคดีต่อชาติบ้านเมือง ท่าน ทุ้ย อัน ทำได้เช่นนี้ ต่อไปตระกูลของท่านต้องรุ่งเรือง เหมือนกับตระกูลจางอย่าง

กรรมของคนชอบกิน

     ในรัชสมัยของจักรพรรดิ เฉียน หลง ที่มณฑล เห่อ ไป่ นายอำเภอคนหนึ่งได้สูญเสียลูกสาวเพียงคนเดียวของเขาไป เนื่องจากอาการป่วยที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน      อีกหลายปีต่อมา ระหว่างที่ภรรยาของนายอำเภอกำลังนอนหลับพักผ่อนอยู่ในเรือนนางก็ได้ฝันเห็นลูกสาวที่ตายไปแล้วถูกมัดมือมัดเท้ากำลังจะถูกฆ่า เธอร้องเรียกแม่ให้ช่วยจนสุดเสียง!      ภรรยาของนายอำเภอสะดุ้งตกใจตื่นขึ้น มันเป็นเวลาเดียวกันกับที่ได้ยินเสียงดังโครมครามอยู่ข้างๆเรือ นางจึงสั่งให้คนออกไปดู สักครู่คนรับใช้ก็กลับเข้ามารายงานว่า " ลูกเรือลำที่อยู่ข้างๆ กำลังจะช่วยกันฆ่าหมู!"       ทันทีที่ภรรยาของนายอำเภอทราบเรื่อง จึงรีบตามออกไปดูก็พบว่ามีชายสองคนกำลังช่วยกันจับหมูตัวหนึ่งให้นอนลง เท้าหน้าและเท้าหลังของมันถูกมัดด้วยเชือกจนแน่นเสียงร้องของหมูที่กำลังจะถูกฆ่ามันช่างเสียดแทงหัวใจของนางเสียเหลือเกินทำให้นางนึกถึงเรื่องความฝัน      ภรรยาของนายอำเภอรีบร้องตะโกนออกไป เพื่อให้คนแจวเรือหยุดการกระทำของพวกเขา แต่อนิจจามันช้าไปเพียงเสี้ยววินาทีชายแจวเรือคนหนึ่งแทงมีดแหลมยาวอันคมกริบลงไปที่คอหมูตัวนั้นจนมิดด้าม หมูซึ่งถูกมัด

กินให้หนำใจ

     ในสมัยราชวงศ์ ชิง ที่มณฑล จื่อ เจียง มีข้าราชการคนหนึ่งแซ่เซิน ครอบครัวของเขาร่ำรวยมั่งคั่งมาก ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาคนแซ่เซิน ใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย ชอบเลี้ยงพรรคพวกเพื่อนฝูงอยู่เสมอ เมื่อได้รับราชการแล้วก็ยังไม่ทิ้งนิสัยใช้เงินฟุ่มเฟือย ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือนห้องพัก เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายตลอดจนกระทั่งรถม้า ทุกอย่างเขาต้องพิถีพิถันเลือกใช้แต่ของดีๆ      อาหารทั้งสามมื้อในแต่ละวัน เขาจะจัดหาแต่ของแพงมาเลี้ยงแขก อาทิเช่น สมองเป็ดอบ เนื้อกวางย่าง หูฉลาม เป็นอย่างนี้ชั่วนาตาปี คิดดูเอาเถิดว่า เขาต้องใช้ชีวิตสัตว์มากมายเท่าไร มากินมาเลี้ยงเพื่อนฝูง      อยู่มาไม่นานเขาก็ลาออกจากการเป็นข้าราชการกลับมาอยู่บ้านเฉยๆวันทั้งวันคิดแต่เรื่องใช้เงิน ทั้งซื้อที่ขยายบ้านทุ่มเทเงินทองตกแต่งประดับประดา สร้างสวนน้ำตก สำหรับเรื่องกินนั้น เขาจะคอยเลือกสรรแต่ของหายากที่แพงลิบลิ่ว เขากินอย่างฟุ่มเฟือยมากกว่าตอนที่เป็นข้าราชการเสียอีก      ผ่านไป ๑๐ กว่าปี ครอบครัวเขาก็ย่ำแย่ ทรัพย์สินเงินทองร่อยหรอลงไปทุกทีๆ เขาเริ่มกลัดกลุ้มใจจนล้มป่วยและกลายเป็นคนบ้าเสียสติในที่สุด      เมื่อถึงเวลากินข้าวเขาจะเก็

หนี้แค้นต้องชำระ

     ในสมัยราชวงศ์ ชิง ที่มณฑลซานตุง อำเภอหลิง ชิง มีชายคนหนึ่งเดินทางเข้าไปหาซื้อควายในเมืองเพื่อนำไปฆ่า เมื่อซื้อได้แล้วเขาก็พยายามจะจูงมันกลับไปบ้าน แต่ควายตัวนั้นเหมือนกับรู้ว่าจะต้องชะตาขาด มันจึงไม่ยอมก้าวเดินไปไหน      ชายผู้นั้นโกรธมาก เขาใช้แส้ฟาดกระหน่ำโดยไม่ยั้งมือ ควายที่น่าสงสารเนื้อตัวแตกยับมีเลือดไหลโทรมมันพยายามหลบหลีกแส้ที่ฟาดลงมาอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่ยอมขยับเขยื้อนท้ายที่สุดหลบจนไม่รู้จะหลบอย่างไร มันทั้งเจ็บทั้งกลัวจนตัวสั่นไม่มีกำลังจะขัดขืนจึงจำใจให้เขาฉุดกระชากลากตัวไปอย่างน่าเวทนา      เมื่อเดินทางผ่านมาถึงบ้านใหญ่หลังหนึ่ง ควายตัวนั้นมองเห็นเจ้าของร้านอยู่ที่หน้าประตูมันรีบคุกเข่าก้มหัวลงและน้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง ประหนึ่งจะวิงวอนขอความช่วยเหลือจากท่านเศรษฐี ซึ่งเป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว ท่านเจ้าของบ้านเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกสงสารจับใจ จึงสอบถามชายผู้นั้นว่าซื้อควายมาราคาเท่าไร พร้อมกับขอซื้อต่อด้วยราคาที่สูงกว่า แต่ไม่ว่าท่านเศรษฐีจะเพิ่มเงินให้สักเท่าไรเขาก็ไม่ยอมขาย ซ้ำยังพูดขึ้นว่า       "ไอ้ควายตัวนี้ มันน่าแค้นเหลือเกิน! ทำให้ข้าต้องออกแรงจนเหนื่

ร่ำรวยได้ ก็ล่มจมได้

     ในปีที่ ๑ ของรัชสมัยราชวงศ์ชิง ทางภาคตะวันออกของมณฑลฝู่เจี่ยน มีชายคนหนึ่งทำมาหากินด้วยการฆ่าวัวเนื้อขาย ซึ่งตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา อาชีพนี้ก็สร้างความร่ำรวยให้แก่เขาอย่างมหาศาล จนกระทั่งอายุมากขึ้น ลูกๆของเขาก็เข้ามาดำเนินกิจการแทนโดยยึดอาชีพฆ่าวัวต่อจากบิดา      จากนั้นหลายปีมีอยู่คืนหนึ่ง เพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันได้เห็นเขียงใหญ่ที่ใช้ตัดหัววัว กลับกลายเป็นหัวของวัวที่ถูกตัดขาด มันกลิ้งออกไปตามท้องถนนกลางดึก คืนต่อมาชาวบ้านในละแวกนั้นต่างก็ได้ยินเสียงคล้ายกับหัววัวชนกันดังสนั่นไปทั่วหมู่บ้าน ผู้คนทั้งหลายเล่าลือกันไปต่างๆนาๆ      พอย่างเข้าวันที่สาม ลูกชายของคนฆ่าวัวก็เกิดทะเลาะวิวาทกับนายทหารประจำการทั้งสองต่อสู้กันนายทหารพลาดท่าเสียทีถูกทำร้ายร่างกายจนตาย แต่ตัวลูกชายของพ่อค้าเนื้อก็ต้องถูกทางการจับตัวไปลงโทษ โดยประหารให้ตายตกไปตามกัน เมื่อคนฆ่าวัวผู้เป็นพ่อซึ่งแก่ชรามากแล้วรู้ข่าวก็หัวใจวายตายไปเพราะตกใจสุดขีด!      ในสมัยนั้นหากผู้ใดทำร้ายเจ้าหน้าที่ของทางราชการ คนในครอบครัวจะต้องพลอยได้รับโทษสถานหนักไปด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ญาติพี่น้องที่เหลืออยู่จึงพยายามวิ่งเต

ไม่ทันตาย ก็ตกนรก

     จี้ เสี่ยว ตัน เป็นผู้บันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า      ในตำบลบ้านเกิดของเขามีชายคนหนึ่งแซ่ กู่ เป็นคนมีพละกำลังแข็งแรงมาก แต่หน้าตาอัปลักษณ์โหดเหี้ยม นายกู่มีอาชีพฆ่าวัว ภรรยาของเขามีความชำนาญในการใช้มีดฆ่าวัวไม่แพ้สามี ดังนั้นสามีภรรยาคู่นี้จึงผ่านการ "ฆ่า" มาอย่างโชกโชน วัวที่ตายด้วยฝีมือของคนทั้งสองนั้นมากมายนับไม่ถ้วน      อยู่มาวันหนึ่ง คนแซ่กู่เกิดมีอาการเจ็บตารักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย ในที่สุดจึงต้องตาบอด ส่วนภรรยาของเขาก็ป่วยเป็นโรคประหลาดผิวหนังพุพองเน่าเฟะไปทั้งตัว เสื้อผ้าที่ใส่เมื่อเปื้อนเลือดและนำ้หนองพอแห้งก็ติดกับบาดแผลตามตัว ครั้นดึงออกก็กระชากเอาหนังหลุดติดมาด้วยเหมือนเอามีดคมๆมาเฉือนเนื้อ           ทุกคืนนางจะนอนร้องครวญครางและพร่ำพูดแต่ว่า       "นรกเอามีดมาปาดเนื้อข้า อย่างกับปาดเนื้อวัวควาย ทรมานเหลือเกิน!....ทนไม่ไหวแล้ว!"      บรรดาญาติพี่น้องที่มาเยี่ยม ก็ได้แต่เฝ้าดูอาการของนางด้วยความเวทนา เสียงร้องโหยหวลอยู่ทั้งวันทั้งคืน ได้ยินแล้วมันช่างน่ากลัวเสียจนขนลุกขนพอง      ภรรยาของนายกู่ทรมานเช่นนี้อยู่ถึง ๑๑ เดือน ก่อนตายแม่

ฆ่าหมูกรรมสนอง

     เสียน ซื่อ เป็นพ่อค้าเนื้อหมูในอำเภออันวุย เขาฆ่าหมูมาเป็นเวลากว่า ๒๐ ปี จนมั่งคั่งร่ำรวย และมีบ้านใหญ่โตถึง ๓ หลัง รวมทั้งที่นาอีกหลายร้อยไร่      เช้าตรู่ตอนตีห้าวันหนึ่ง ภรรยาของเขาได้ลุกไปเข้าห้องน้ำ ขณะที่เดินผ่านคอกหมูท่ามกลางแสงสลัวๆ นางได้มองเห็นร่างของผู้หญิงสองคนนอนเหยียดอยู่ในคอกไม่ว่าจะขยี้ตาอย่างไรภาพนั้นก็ยังคงปรากฎชัดเจนต่อสายตาของนาง ภรรยาพ่อค้าหมูตกใจมากรีบวิ่งไปบอกสามีว่า       "มันเป็นลางไม่ดีเลย ต่อไปนี้เราควรเลิกอาชีพฆ่าหมูขาย เปลี่ยนไปทำอย่างอื่นเสียจะดีกว่า"       แต่ชายพ่อค้าหมูไม่เห็นด้วย เขายังคงยืนยันอย่างแข็งกร้าวว่าจะยึดอาชีพฆ่าหมูขายต่อไป ฝ่ายภรรยาของเขาก็ไม่ยอมแพ้ นางโมโหมากจึงเก็บเอามีดฆ่าหมูทั้งหมดไปโยนทิ้งลงในหลุมส้วม ชายผู้เป็นสามีหมดสิ้นความอดทนอีกต่อไป ทั้งสองจึงโต้เถียงกันอย่างรุนแรง ในที่สุดเมื่อไม่สามารถตกลงกันได้ จึงประกาศแยกทางกัน โดยเชิญพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายมาแบ่งทรัพย์สมบัติ      ภรรยาของ เสียน ซื่อ รับเอาลูกคนเล็กไปอยู่ด้วย ส่วนลูกชายคนโตตัวเขาเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดู      หลังจากแยกทางกันแล้ว เสียน ซื่อ ก็ยังคงฆ่า

สมควรตาย

     เฉิน ซื่อ เป็นคนแจวเรือจ้าง ในเดือนสามปีหนึ่งเขาได้ฝันเห็นชายชราผมขาวมาขอร้องเขาว่า       "วันพรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะมีภัยมาถึง ขอท่านได้โปรดช่วยเหลือสักครั้งเถิด แล้วต่อไปภายหน้าข้าพเจ้าจะตอบแทนบุญคุณ" พอตื่นขึ้น เฉิน ซื่อ คิดว่าความฝันนี้แปลกประหลาดไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร วันต่อมาขณะที่เขากำลังแจวเรือส่งผู้โดยสาร ก็ได้ยินเสียงคนแจวเรือที่อยู่ข้างๆร้องเอะอะ เมื่อเขาเดินไปดูที่หัวเรือจึงพบว่า มีนากทะเลตัวหนึ่งถูกคนล้อมจับเอาไว้ได้      ในเวลานั้นบนเรือมีผู้โดยสารท่านหนึ่ง เกิดความเวทนาสงสารจึงออกปากขอเสนอให้เงินแก่บรรดาคนแจวเรือทั้งหลาย เป็นเงินถึง ๕๐๐ เหรียญ เพื่อให้ปล่อยนากทะเลตัวนั้นไป ทุกคนก็ตกลงยินดีทำตาม มีเพียงนาย เฉิน ซื่อ คนเดียวเท่านั้นที่ไม่เห็นด้วย ในใจของเขาเต็มไปด้วยความละโมบปราศจากเมตตา เขาได้โต้แย้งว่า       " แกรู้หรือเปล่าว่า แค่หนังของเจ้านากทะเลตัวนี้มันราคาเท่าไหร่แล้ว! เงินแค่ ๕๐๐ เหรียญจะซื้ออะไรได้!"       ผู้โดยสารที่ใจบุญท่านนั้น กำลังจะเจรจาให้เงินเพิ่ม แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก นาย เฉิน ซื่อ ก็ใช้ฉมวกอันแหลมคมแทงหัวนากทะเล จนสมองแตกกร

ไฟแค้นจิ้งจอก

     ในสมัยราชวงศ์ ชิง ที่มณฑล เหว่ย หนาน เศรษฐีเจ้าของโรงรับจำนำใหญ่แห่งหนึ่งชื่อ หวง เมี้ยว แม้ว่าเขาจะร่ำรวยมากแล้วแต่ก็ไม่รู้จักคำว่าพอ คอยคิดแต่จะเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นอยู่เสมอไม่ว่าเรื่องอะไร      วันหนึ่งเขาต่อเติมขยายบ้านที่อยู่อาศัย จนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของคนอื่น ขณะกำลังโต้เถียงกันอยู่ เขาเหลือบไปเห็นลูกสุนัขจิ้งจอกตัวเล็กๆ ๓ ตัวไต่อยู่บนกำแพงจึงใช้ไม้ไล่ตีใครห้ามเขาก็ไม่ฟังอ้างว่า       "มันจะไม่ได้ต้องเข้ามาในบ้านข้า!"       หวงเมี้ยวตีลูกสุนัขจิ้งจอกตายไป ๒ ตัว มีตัวหนึ่งหนีรอดไปได้ นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ครอบครัวของเขาก็ประสบเหตุการณ์ร้ายๆแทบทุกวัน ไม่เคยได้อยู่อย่างสงบเลย      จนกระทั่งย่างเข้าเดือนสิบสอง โรงรับจำนำของเขาก็เกิดไฟไหม้โดยไม่รู้สาเหตุ แต่ก็สามารถดับได้ทัน เขาเชื่อว่าจะต้องเกิดจากแรงอาฆาตของลูกสุนัขจิ้งจอกที่ถูกเขาทำร้ายอย่างแน่นอน      หวงเมี้ยว เดินทางไปขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ แซ่จาง ผู้ซึ่งมีความรอบรู้ในเรื่องเวทมนต์ อาจารย์จางได้ให้ผ้ายันต์ผืนหนึ่งมาติดที่หน้าบ้าน เหตุการณ์ร้ายๆก็มีทีท่าว่าจะสงบลง แต่ไม่กี่เดือนต่อมาเพทภัย

ตายเหมือนนก

     ในมณฑล เจียง ซู มีชายหนุ่มผู้หนึ่ง แซ่หลี่ เป็นคนโอ่อ่าแต่งกายหรูหราราวกับลูกเศรษฐี นิสัยของเขาฝักใฝ่แต่การกระทำที่ผิดๆอยู่ตลอดเวลา      บ้านของนายหลี่อยู่ติดริมน้ำซึ่งบริเวณนั้นชาวบ้านในอดีตได้ปลูกต้นไผ่ไว้ เพื่อช่วยป้องกันมิให้น้ำพัดดินขอบตลิ่งพัง ด้วยใบที่เขียวชะอุ่มและหนาแน่นของต้นไม้ไผ่ริมน้ำ สร้างความร่มรื่น จึงเป็นที่ให้บรรดานกทั้งหลายมาสร้างรังอยู่กันเป็นจำนวนมาก      เหตุนี้เอง คนหนุ่มที่คึกคะนองอย่างนายหลี่ จึงคิดสร้างปืนไปยิงนกด้วยตนเองตั้งแต่ยังเป็นเด็กวัยรุ่น ครั้นพอโตขึ้นก็ชอบคบหาสมาคมกับพวกนายทหาร นายหลี่และเพื่อนทหารมักชวนกันออกไปล่าสัตว์ยิงนกโดยถือเป็นกีฬาที่ชื่นชอบสนุกสนาน ตลอดเวลาที่ผ่านไปนกที่ถูกฆ่าตายด้วยฝีมือนายหลี่มีจำนวนนับเป็นหมื่นๆตัว แม้อายุล่วงเข้าสู่วัยชราแล้วเขาก็ไม่เคยคิดจะเลิกเบียดเบียนเข่นฆ่าชีวิตผู้อื่น      จนกระทั่งเมื่อนายหลี่อายุได้ ๕๐ ปี ในตอนเช้าวันหนึ่งเขาก็เกิดอาการผวาตกใจสะดุ้งตื่นยกมือยกเท้าขึ้นเตะถีบปัดไปปัดมาพร้อมกับร้องตะโกนว่า       "มีนกเยอะแยะไปหมด! มันมาจิกหน้าจิกตาข้า!      เจ็บ!...เจ็บจนสุดจะทนแล้ว!"