ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

กรรมของคนชอบกิน


     ในรัชสมัยของจักรพรรดิ เฉียน หลง ที่มณฑล เห่อ ไป่ นายอำเภอคนหนึ่งได้สูญเสียลูกสาวเพียงคนเดียวของเขาไป เนื่องจากอาการป่วยที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน
     อีกหลายปีต่อมา ระหว่างที่ภรรยาของนายอำเภอกำลังนอนหลับพักผ่อนอยู่ในเรือนนางก็ได้ฝันเห็นลูกสาวที่ตายไปแล้วถูกมัดมือมัดเท้ากำลังจะถูกฆ่า เธอร้องเรียกแม่ให้ช่วยจนสุดเสียง!
     ภรรยาของนายอำเภอสะดุ้งตกใจตื่นขึ้น มันเป็นเวลาเดียวกันกับที่ได้ยินเสียงดังโครมครามอยู่ข้างๆเรือ นางจึงสั่งให้คนออกไปดู สักครู่คนรับใช้ก็กลับเข้ามารายงานว่า "ลูกเรือลำที่อยู่ข้างๆ กำลังจะช่วยกันฆ่าหมู!"
     ทันทีที่ภรรยาของนายอำเภอทราบเรื่อง จึงรีบตามออกไปดูก็พบว่ามีชายสองคนกำลังช่วยกันจับหมูตัวหนึ่งให้นอนลง เท้าหน้าและเท้าหลังของมันถูกมัดด้วยเชือกจนแน่นเสียงร้องของหมูที่กำลังจะถูกฆ่ามันช่างเสียดแทงหัวใจของนางเสียเหลือเกินทำให้นางนึกถึงเรื่องความฝัน
     ภรรยาของนายอำเภอรีบร้องตะโกนออกไป เพื่อให้คนแจวเรือหยุดการกระทำของพวกเขา แต่อนิจจามันช้าไปเพียงเสี้ยววินาทีชายแจวเรือคนหนึ่งแทงมีดแหลมยาวอันคมกริบลงไปที่คอหมูตัวนั้นจนมิดด้าม หมูซึ่งถูกมัดดิ้นชักกระตุกๆ เลือดพุ่งกระฉูดขาดใจตายไปอย่างเจ็บปวดทรมาน!
     ภรรยาของนายอำเภอเห็นภาพที่น่าสยดสยองนั้นแล้วก็ถึงเข่าอ่อนทรุดตัวลงร้องไห้โฮทั้งนี้เพราะนางรู้ดีว่า ลูกสาวของนางที่ตายไปต้องไปเกิดเป็นหมูตัวนั้นอย่างแน่นอน ภรรยาของนายอำเภอเศร้าโศกเสียใจมาก ที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย ทำได้ก็แต่เพียงขอซื้อหมูตัวที่ตายแล้วไปฝังเสีย
     บรรดาคนรับใช้ในบ้านพากันวิพากวิจารณ์เรื่องที่เกิดขึ้นหญิงรับใช้คนหนึ่งได้พูดขึ้นว่า
     "คุณหนูบุตรสาวของนายอำเภออายุสั้นเหลือเกิน เพียงแค่อายุ ๑๖ ปี ก็เป็นไข้ตายจากไป แต่ตอนยังมีชีวิตอยู่ พ่อแม่รักมากตามใจทุกอย่าง คุณหนูชอบกินเนื้อไก่ที่สุด ถ้ามื้อไหนกับข้าวไม่มีเนื้อไก่ก็จะไม่ยอมกินข้าวเลย แต่ละปีฉันคิดดูแล้ว ต้องฆ่าไก่ให้เธอไม่น้อยกว่า ๘๐๐ ตัวขึ้นไป"
     อย่างนี้นี่เอง...กฎแห่งกรรมที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
     ถูกสร้างสมไว้มากมายทบทวี
     ส่งผลให้ผู้กระทำต้องอายุสั้น!
     พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า
     "คนที่หมกมุ่นอยู่แต่ "การฆ่า"
     ตายไปแล้วต้องไปรับผลกรรม
     อยู่ในนรกภูมิอย่างทุกข์ทรมาน
     เมื่อพ้นโทษขึ้นมาแล้ว ก็ยังต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานต่างๆ
     และถูกเขาฆ่าตายจนนับไม่ถ้วน
     ติดหนี้เลือด...ใช้ด้วยเลือด
     ติดหนี้ชีวิต...ใช้ด้วยชีวิต
     ร้อยชาติ พันชาติ ไม่หมดเวรสิ้นกรรมสักที"


     เดินไปข้างหน้าต้องตรวจตรา
     ข้างล่างมีอะไรควรใส่ใจ
     ทุกย่างก้าวไม่เข่นฆ่าทำร้ายใคร
     สำรวมระวังตัวไม่ก่อกรรมโดยไม่รู้ตัว
     ตลอดเวลามีแต่จิตเมตตาดุจฟ้าเบื้องบน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

สละเนื้อช่วยนก

ในกาลก่อน เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่บำเพ็ญโพธิสัตว์ธรรม ยังมิได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า     วันหนึ่งพระองค์ได้ทรงทอดพระเนตรเห็นเหยี่ยวตัวใหญ่ที่ผอมโซ กำลังบินไล่ล่านกตัวเล็กๆ หมายจะกินเป็นอาหาร วิหกน้อยหวาดกลัวเป็นอันมาก มันพยายามบินหนีเพื่อเอาชีวิตรอดจนสุดกำลัง ครั้นได้แลเห็นพระบรมโพธิสัตว์ประทับอันอยู่มิไกล นกน้อยตัวนั้นจึงโผบินลงสู่อ้อมอก ของพระองค์ทันที    พญาเหยี่ยวไม่กล้าติดตามเข้าไปใกล้ ได้แต่เฝ้าบินวนอยู่ไม่ไปไหน เมื่อเป็นเช่นนี้ พญาเหยี่ยวผู้หิวโหยจึงพูดขึ้นด้วยความโมโหว่า    "ข้าแต่พระโพธิสัตว์เจ้า!  พระองค์อยากช่วยนกตัวเล็กๆ  แล้วจะปล่อยให้ข้าบาทต้องอดตายหรืออย่างไร?"     พระมหาโพธิสัตว์เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ทรงยิ้มแล้วตรัสแก่พญานกว่า     "ท่านประสงค์จะกินสิ่งใด เพื่อคลายหิวเล่า?"     พญาเหยี่ยวได้ทูลตอบทันทีว่า     "ข้าพระองค์ อยากกินเนื้อเป็นอาหาร"     พระโพธิสัตว์จึงตรัสว่า    " ถ้าเช่นนั้นเรายินดีมอบเนื้อของเรา ให้เป็นอาหารแก่ท่านแทนเนื้อของนกน้อยตัวนี้"     ขณะที่พระมหาโพธิสัตว์กำลังจะตัดเนื้อที

เมตตาธรรมค้ำจุนโลก

     ในสมัยราชวงศ์ หมิง มีนักปฏิบัติธรรมผู้หนึ่ง นามว่า หวง จี่ ซื่อ แม้ว่าในขณะนั้นแผ่นดินจะร้อนระอุไปด้วยเภทภัยรอบด้าน ผู้คนล้มตายลงอย่างน่าอนาถ แต่เขาก็ยังมุ่งมั่นสร้างความดี โดยมิได้หวั่นไหวแม้แต่น้อย      จิตใจของ หวง จี่ ซือ มีแต่ความเมตตาห่วงใย เอื้ออาทรต่อทุกชีวิต เขาทราบว่าบนเขามีพระสงฆ์ผู้ซึ่งบรรลุธรรมสูงสุดสามารถหยั่งรู้ฟ้าดินและเหตุการณ์ความเป็นไปทั้งหลายในโลก หวง จี่ ซือ ผู้บำเพ็ญธรรมจึงเดินทางขึ้นเขาเพื่อขอคำชี้แนะจากท่าน เขาได้กราบนมัสการถามพระอริยสงฆ์องค์นั้นว่า       "ข้าแต่พระคุรเจ้าผู้สูงยิ่งด้วยบารมีธรรม เวลานี้ผู้คนนับล้านล้มตายลงมากมายเนื่องด้วยภัยพิบัตินานับประการ ยากที่จะมีใครรอดพ้นได้ ขอพระคุณเจ้าได้โปรดเมตตาชี้แนะวิธีที่สามารถจะหยุดยั้งมหันตภัยนั้นให้ได้ทันการ ด้วยเถิด"       พระคุณเจ้าผู้เปี่ยมด้วยเมตตา ดวงหน้าของท่านมีรอยยิ้มปรากฎขึ้นพร้อมกับกล่าวว่า      " มีอย่างเดียว...อย่าฆ่าสัตว์! จงช่วยกันปลดปล่อยชีวิตสัตว์ทั้งหลายเถิด"       กล่าวจบ ท่านก็หลับตาลงนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรอีกเลย

กรรมตามทัน

     ในวัดเก่าแก่แห่งหนึ่ง มีสมุดบันทึกเขียนเล่าว่า      ที่มณฑล ซูโจว มีร้านขายบะหมี่ใส่ปลาไหลย่างอยู่ร้านหนึ่ง ฝีมือที่ปรุงรสได้เป็นเลิศของเจ้าของร้านทำให้ขายดีเป็นที่หนึ่ง สาเหตุก็เพราะวิธีย่างปลาไหลที่ไม่เหมือนใคร เขาใช้ปลาไหลเป็นๆปล่อยลงไปบนแผ่นเหล็กที่มีขอบโดยรอบ ปลาไหลที่ถูกเผาจะดิ้นไปมาอยู่บนกระทะเหล็ก ซึ่งตั้งอยู่บนเตาร้อนๆ จนกระทั่งหนังของมันไหม้สุกและหลุดออกไป ปลาไหลต้องทรมานอยู่อย่างนี้จนตาย! เสร็จแล้วจึงถูกนำขึ้นมาสับวางบนบะหมี่ ลูกค้าทั้งหลายที่ติดอกติดใจในรสชาด ต่างพากันมาอุดหนุนจนแน่นร้านทุกวัน      อยู่มาคืนหนึ่งเจ้าของร้านบะหมี่อันลือชื่อได้ออกไปเที่ยวกลางดึกแล้วหายไปไม่กลับมา เช้าวันรุ่งขึ้นลูกๆจึงออกตามหาก็พบว่า เจ้าของร้านบะหมี่ผู้เป็นพ่อกลายเป็นศพลอยมาติดอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเสียแล้ว      ขณะที่ชาวบ้านช่วยกันเอาศพขึ้นจากน้ำ ทุกคนก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นปลาไหลมากมายกัดติดรอบๆเอวของศพเจ้าของร้านขายบะหมี่จนแน่น      ผู้คนที่มามุงดูต่างพูดกันว่าเป็น "กฎแห่งกรรม ทำมาหากินโดยฆ่าผู้อื่น สุดท้าย ก็ต้องตายเพราะถูกเขาฆ่า"