ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

เคล็ดวิธีสู่ความเจริญรุ่งเรือง


     สมุดบันทึกของ เหลียง จิ้ง สู เขียนเล่าว่า
     บรรพบุรุษของนายอำเภอ ทุ้ย อัน ชอบสร้างกุศลแจกจ่ายเสื้อผ้าอาหารและยารักษาโรคให้แก่ผู้ที่ขาดแคลนคนยากจน ตลอดชีวิตของบรรพบุรุษในแต่ละรุ่น ไม่เคยฆ่ามีแต่จะช่วยปลดปล่อยชีวิตสัตว์ทั้งหลายให้รอด ทุกครั้งที่ทำพิธีเซ่นไหว้บรรพชนหรือจัดงานเลี้ยงแขกเหรื่อก็จัดทำแต่อาหารเจไม่เคยใช้เนื้อสัตว์เลย
     ครั้งหนึ่ง เพื่อนฝูงได้ให้ปูที่ยังมีชีวิตอยู่ ๒ ตะกร้าเต็มๆปูเหล่านั้นตัวอ้วนใหญ่ คนที่เห็นต่างพากันน้ำลายไหลด้วยความอยากกิน แต่ท่าน ทุ้ย อัน กลับนำปูที่ได้ไปปล่อยลงในแม่น้ำเสียทั้งหมด
     ในขณะนั้นมีชายคนหนึ่งเห็นท่าน ทุ้ย อัน กระทำเช่นนั้นก็รู้สึกชื่นชมจึงได้กล่าวกับท่านว่า
      "ความประพฤติของท่านเหมือนกับท่าน จาง ฟ่ง วง ไม่มีผิด ท่านเป็นบิดาของ จาก ซื่อ หลาง ซึ่งขณะนี้รับราชการอยู่ เพราะเหตุนี้ท่าน จาง ฟ่ง วง ชอบทำบุญสร้างกุศลปล่อยสัตว์มาโดยตลอด จึงส่งผลให้ จาง ซื่อ หลาง และลูกๆทุกคนมีอำนาจวาสนา เป็นข้าราชการที่ซื่อสัตย์จงรักภัคดีต่อชาติบ้านเมือง ท่าน ทุ้ย อัน ทำได้เช่นนี้ ต่อไปตระกูลของท่านต้องรุ่งเรือง เหมือนกับตระกูลจางอย่างแน่นอน"
     และแล้วก็เป็นจริงตามที่ชายคนนั้นพูด หนึ่งปีหลังจากนั้นบุตรชายของท่าน ทุ้ย อัน ก็สามารถสอบติดอันดับได้เข้ารับราชการ จนกระทั่งในที่สุดมีตำแหน่งเป็นถึงนายอำเภอ
     เกี่ยวกับท่าน จาง ซื่อ หลาง ผู้เป็นลูกหลานตระกูลจาง มีเรื่องเล่าว่า
     ตอนที่ท่านจาง ซื่อ หลางดำรงตำแหน่งเป็นนายอำเภอในมณฑล ฝู่เจี้ยน ท่านได้เรียบเรียงหนังสืออบรมชี้แนะผู้คนทั้งหลาย ให้เลิกฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หันมาทำบุญสร้างกุศลโดยใช้ชื่อนามปากกาว่า "หลาง จิ้ง สู"
     ทุกๆวันพระและวันหยุด ท่านทจาง ซื่อ หลาง จะแต่งกายด้วยชุดชาวบ้านธรรมดาออกเดินเที่ยวไปพร้อมกับขนมที่ทำจากแป้งเพียงเล็กน้อย สำหรับเป็นอาหารกลางวัน ท่านจะเดินสำรวจตรวจตราดูความเรียบร้อยและทุกข์สุขของราษฎรทั้งหลายโดยมิให้ใครทราบถึงฐานะที่แท้จริงของท่าน
     ตลอดชั่วชีวิตของนายอำเภอผู้มีจิตใจสูงส่งท่านนี้ กินอยู่อย่างเรียบง่ายและประหยัดท่านมักจะใช้เวลาอบรมคนใกล้ชิดและข้าราชการลูกน้องทุกคน ให้หยุดเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น แล้วขยันหมั่นเพียรสร้างแต่คุณงามความดีอันจะนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองและความผาสุขทั้งต่อตนเองและครอบครัวยิ่งๆขึ้นๆไป

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

สละเนื้อช่วยนก

ในกาลก่อน เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่บำเพ็ญโพธิสัตว์ธรรม ยังมิได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า     วันหนึ่งพระองค์ได้ทรงทอดพระเนตรเห็นเหยี่ยวตัวใหญ่ที่ผอมโซ กำลังบินไล่ล่านกตัวเล็กๆ หมายจะกินเป็นอาหาร วิหกน้อยหวาดกลัวเป็นอันมาก มันพยายามบินหนีเพื่อเอาชีวิตรอดจนสุดกำลัง ครั้นได้แลเห็นพระบรมโพธิสัตว์ประทับอันอยู่มิไกล นกน้อยตัวนั้นจึงโผบินลงสู่อ้อมอก ของพระองค์ทันที    พญาเหยี่ยวไม่กล้าติดตามเข้าไปใกล้ ได้แต่เฝ้าบินวนอยู่ไม่ไปไหน เมื่อเป็นเช่นนี้ พญาเหยี่ยวผู้หิวโหยจึงพูดขึ้นด้วยความโมโหว่า    "ข้าแต่พระโพธิสัตว์เจ้า!  พระองค์อยากช่วยนกตัวเล็กๆ  แล้วจะปล่อยให้ข้าบาทต้องอดตายหรืออย่างไร?"     พระมหาโพธิสัตว์เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ทรงยิ้มแล้วตรัสแก่พญานกว่า     "ท่านประสงค์จะกินสิ่งใด เพื่อคลายหิวเล่า?"     พญาเหยี่ยวได้ทูลตอบทันทีว่า     "ข้าพระองค์ อยากกินเนื้อเป็นอาหาร"     พระโพธิสัตว์จึงตรัสว่า    " ถ้าเช่นนั้นเรายินดีมอบเนื้อของเรา ให้เป็นอาหารแก่ท่านแทนเนื้อของนกน้อยตัวนี้"     ขณะที่พระมหาโพธิสัตว์กำลังจะตัดเนื้อที

เมตตาธรรมค้ำจุนโลก

     ในสมัยราชวงศ์ หมิง มีนักปฏิบัติธรรมผู้หนึ่ง นามว่า หวง จี่ ซื่อ แม้ว่าในขณะนั้นแผ่นดินจะร้อนระอุไปด้วยเภทภัยรอบด้าน ผู้คนล้มตายลงอย่างน่าอนาถ แต่เขาก็ยังมุ่งมั่นสร้างความดี โดยมิได้หวั่นไหวแม้แต่น้อย      จิตใจของ หวง จี่ ซือ มีแต่ความเมตตาห่วงใย เอื้ออาทรต่อทุกชีวิต เขาทราบว่าบนเขามีพระสงฆ์ผู้ซึ่งบรรลุธรรมสูงสุดสามารถหยั่งรู้ฟ้าดินและเหตุการณ์ความเป็นไปทั้งหลายในโลก หวง จี่ ซือ ผู้บำเพ็ญธรรมจึงเดินทางขึ้นเขาเพื่อขอคำชี้แนะจากท่าน เขาได้กราบนมัสการถามพระอริยสงฆ์องค์นั้นว่า       "ข้าแต่พระคุรเจ้าผู้สูงยิ่งด้วยบารมีธรรม เวลานี้ผู้คนนับล้านล้มตายลงมากมายเนื่องด้วยภัยพิบัตินานับประการ ยากที่จะมีใครรอดพ้นได้ ขอพระคุณเจ้าได้โปรดเมตตาชี้แนะวิธีที่สามารถจะหยุดยั้งมหันตภัยนั้นให้ได้ทันการ ด้วยเถิด"       พระคุณเจ้าผู้เปี่ยมด้วยเมตตา ดวงหน้าของท่านมีรอยยิ้มปรากฎขึ้นพร้อมกับกล่าวว่า      " มีอย่างเดียว...อย่าฆ่าสัตว์! จงช่วยกันปลดปล่อยชีวิตสัตว์ทั้งหลายเถิด"       กล่าวจบ ท่านก็หลับตาลงนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรอีกเลย

กรรมตามทัน

     ในวัดเก่าแก่แห่งหนึ่ง มีสมุดบันทึกเขียนเล่าว่า      ที่มณฑล ซูโจว มีร้านขายบะหมี่ใส่ปลาไหลย่างอยู่ร้านหนึ่ง ฝีมือที่ปรุงรสได้เป็นเลิศของเจ้าของร้านทำให้ขายดีเป็นที่หนึ่ง สาเหตุก็เพราะวิธีย่างปลาไหลที่ไม่เหมือนใคร เขาใช้ปลาไหลเป็นๆปล่อยลงไปบนแผ่นเหล็กที่มีขอบโดยรอบ ปลาไหลที่ถูกเผาจะดิ้นไปมาอยู่บนกระทะเหล็ก ซึ่งตั้งอยู่บนเตาร้อนๆ จนกระทั่งหนังของมันไหม้สุกและหลุดออกไป ปลาไหลต้องทรมานอยู่อย่างนี้จนตาย! เสร็จแล้วจึงถูกนำขึ้นมาสับวางบนบะหมี่ ลูกค้าทั้งหลายที่ติดอกติดใจในรสชาด ต่างพากันมาอุดหนุนจนแน่นร้านทุกวัน      อยู่มาคืนหนึ่งเจ้าของร้านบะหมี่อันลือชื่อได้ออกไปเที่ยวกลางดึกแล้วหายไปไม่กลับมา เช้าวันรุ่งขึ้นลูกๆจึงออกตามหาก็พบว่า เจ้าของร้านบะหมี่ผู้เป็นพ่อกลายเป็นศพลอยมาติดอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเสียแล้ว      ขณะที่ชาวบ้านช่วยกันเอาศพขึ้นจากน้ำ ทุกคนก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นปลาไหลมากมายกัดติดรอบๆเอวของศพเจ้าของร้านขายบะหมี่จนแน่น      ผู้คนที่มามุงดูต่างพูดกันว่าเป็น "กฎแห่งกรรม ทำมาหากินโดยฆ่าผู้อื่น สุดท้าย ก็ต้องตายเพราะถูกเขาฆ่า"