ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ปล่อยสัตว์ตอบแทนพระคุณครู


     ท่าน วัง กง หวาง เป็นครูที่ใช้ชีวิตสมถะ ท่านกินอยู่ใช้จ่ายอย่างประหยัดมาก แต่ไม่ว่าจะเป็นวันปีใหม่ วันพระ วันสารท วันเกิด หรือแม้แต่วันธรรมดา หากท่านพบเห็นสัตว์อะไรก็ตามที่ถูกจับมาขาย คุณครูท่านนี้จะต้องซื้อไปปล่อยทันที
     จนกระทั่งในปีหนึ่ง เป็นวันคล้ายวันเกิดของท่าน บรรดาลูกศิษย์มากมายที่สำนึกในพระคุณ เห็นว่าท่านอาจารย์วัง กง หลาง ชรามากแล้วจึงคิดจะจัดงานฉลองใหญ่เพื่อเป็นเกียรติแก่ท่าน ลูกศิษย์ทั้งหมดเสนอให้มีการจัดเลี้ยงอาหารและว่าจ้างคณะนักแสดงมาให้ความบันเทิงในงานด้วย
     ครั้นอาจารย์ วัง กง หลาง ทราบเรื่อง จึงเรียกลูกศิษย์ทั้งหมดมาชุมนุมกันในเย็นวันนั้น แล้วพูดขึ้นว่า
     "ครูรู้ดีว่า ลูกศิษย์ทุกคนอยากจะแสดงน้ำใจกตัญญูต่อครู แต่การจัดงานเลี้ยงนั้นมันสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ หากจะตอบแทนครูจริงๆแล้วล่ะก็ ควรนำเงินทั้งหมดไปซื้อสัตว์ปล่อยดีกว่า ทำเช่นนี้...ครูจะมีความสุขกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด"
     ลูกศิษย์ทุกคนได้ยินเช่นนั้นแล้วต่างซาบซึ้งใจในคำพูดของท่าน เหตุนี้เองในวันคล้ายวันเกิดของท่านอาจารย์ในปีนั้น บรรดาลูกศิษย์ทุกรุ่นจึงพร้อมใจกันบริจาคเงินซื้อสัตว์ปล่อยนับว่าเป็นการสร้างมหากุศลครั้งยิ่งใหญ่กว่าทุกปีที่ผ่านมา ทั้งนี้เพื่อเป็นการแสดงกตัญญูกตเวทิตาต่อครูผู้มีพระคุณของตน
     อีกหลายปีต่อมา แม้ท่านอาจารย์ วัง กง หลาง จะชราภาพมากแล้ว คราวนั้นมีคนใกล้ๆบ้านจะนำวัวที่เลี้ยงไว้ไปขายให้แก่โรงฆ่าสัตว์ แต่วัวตัวนั้นกลับวิ่งตรงไปคุกเข่าอยู่ที่หน้าประตูบ้านของท่านราวกับจะวิงวอนขอร้องให้ท่านช่วยชีวิตเอาไว้ เมื่อท่าน วัง กง หลาง ทราบก็นำเงินออกมาซื้อแล้วพาวัวตัวนั้นมาเลี้ยงไว้ในบ้าน
     ท่านอาจารย์ วัง กง หลาง ผู้เปี่ยมด้วยเมตตาจิตสูงส่ง ตลอดชั่วชีวิตของท่านไม่เคยหยุดปล่อยสัตว์ท่านมีอายุยืนยาวมากและเมื่อวาระสุดท้ายมาถึง ท่านก็ได้จากไปโดยอาการสงบไม่เจ็บไข้ได้ป่วยใดๆเลย
     ลูกหลานของท่านทุกคนได้เป็นข้าราชการ หลายคนสร้างคุณงามความดีให้แก่ชาติบ้านเมือง จนได้รับพระราชโองการแต่งตั้งให้เป็นถึง เสนาบดี
     ถ้าทุกคนในโลก ทำได้อย่างท่าน วัง กง หลาง
     ก็ย่อมจะอายุยืน ลูกหลานเจริญรุ่งเรือง
     สิ่งไม่ดีทั้งหลายจะอันตรธานหายไปสิ้น
     ตลอดชีวิตย่อมจะประสบแต่สิ่งที่เป็นมงคล
     ฉะนั้น วันคล้ายวันเกิดปีนี้ควรหันมาทำบุญปล่อยสัตว์แทนการกินเลี้ยงจะดีกว่า
     กินเลี้ยงฉลองด้วยชีวิตผู้อื่นก็เท่ากับปลุกวิญญาณภูติผี!
     บนโต๊ะกินเลี้ยงถูกละเลงไปด้วยเลือด
     จัดงานวันเกิดต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ก็เท่ากับบั่นทอนอายุตนเองให้สั้นลง
     เช่นนี้แล้ว...จึงควรพิจารณาดูให้ดี
     ทุกอย่างอยู่ที่ตัวของเราจะเลือกเอาเอง


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

สละเนื้อช่วยนก

ในกาลก่อน เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่บำเพ็ญโพธิสัตว์ธรรม ยังมิได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า     วันหนึ่งพระองค์ได้ทรงทอดพระเนตรเห็นเหยี่ยวตัวใหญ่ที่ผอมโซ กำลังบินไล่ล่านกตัวเล็กๆ หมายจะกินเป็นอาหาร วิหกน้อยหวาดกลัวเป็นอันมาก มันพยายามบินหนีเพื่อเอาชีวิตรอดจนสุดกำลัง ครั้นได้แลเห็นพระบรมโพธิสัตว์ประทับอันอยู่มิไกล นกน้อยตัวนั้นจึงโผบินลงสู่อ้อมอก ของพระองค์ทันที    พญาเหยี่ยวไม่กล้าติดตามเข้าไปใกล้ ได้แต่เฝ้าบินวนอยู่ไม่ไปไหน เมื่อเป็นเช่นนี้ พญาเหยี่ยวผู้หิวโหยจึงพูดขึ้นด้วยความโมโหว่า    "ข้าแต่พระโพธิสัตว์เจ้า!  พระองค์อยากช่วยนกตัวเล็กๆ  แล้วจะปล่อยให้ข้าบาทต้องอดตายหรืออย่างไร?"     พระมหาโพธิสัตว์เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ทรงยิ้มแล้วตรัสแก่พญานกว่า     "ท่านประสงค์จะกินสิ่งใด เพื่อคลายหิวเล่า?"     พญาเหยี่ยวได้ทูลตอบทันทีว่า     "ข้าพระองค์ อยากกินเนื้อเป็นอาหาร"     พระโพธิสัตว์จึงตรัสว่า    " ถ้าเช่นนั้นเรายินดีมอบเนื้อของเรา ให้เป็นอาหารแก่ท่านแทนเนื้อของนกน้อยตัวนี้"     ขณะที่พระมหาโพธิสัตว์กำลังจะตัดเนื้อที

เมตตาธรรมค้ำจุนโลก

     ในสมัยราชวงศ์ หมิง มีนักปฏิบัติธรรมผู้หนึ่ง นามว่า หวง จี่ ซื่อ แม้ว่าในขณะนั้นแผ่นดินจะร้อนระอุไปด้วยเภทภัยรอบด้าน ผู้คนล้มตายลงอย่างน่าอนาถ แต่เขาก็ยังมุ่งมั่นสร้างความดี โดยมิได้หวั่นไหวแม้แต่น้อย      จิตใจของ หวง จี่ ซือ มีแต่ความเมตตาห่วงใย เอื้ออาทรต่อทุกชีวิต เขาทราบว่าบนเขามีพระสงฆ์ผู้ซึ่งบรรลุธรรมสูงสุดสามารถหยั่งรู้ฟ้าดินและเหตุการณ์ความเป็นไปทั้งหลายในโลก หวง จี่ ซือ ผู้บำเพ็ญธรรมจึงเดินทางขึ้นเขาเพื่อขอคำชี้แนะจากท่าน เขาได้กราบนมัสการถามพระอริยสงฆ์องค์นั้นว่า       "ข้าแต่พระคุรเจ้าผู้สูงยิ่งด้วยบารมีธรรม เวลานี้ผู้คนนับล้านล้มตายลงมากมายเนื่องด้วยภัยพิบัตินานับประการ ยากที่จะมีใครรอดพ้นได้ ขอพระคุณเจ้าได้โปรดเมตตาชี้แนะวิธีที่สามารถจะหยุดยั้งมหันตภัยนั้นให้ได้ทันการ ด้วยเถิด"       พระคุณเจ้าผู้เปี่ยมด้วยเมตตา ดวงหน้าของท่านมีรอยยิ้มปรากฎขึ้นพร้อมกับกล่าวว่า      " มีอย่างเดียว...อย่าฆ่าสัตว์! จงช่วยกันปลดปล่อยชีวิตสัตว์ทั้งหลายเถิด"       กล่าวจบ ท่านก็หลับตาลงนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรอีกเลย

กรรมตามทัน

     ในวัดเก่าแก่แห่งหนึ่ง มีสมุดบันทึกเขียนเล่าว่า      ที่มณฑล ซูโจว มีร้านขายบะหมี่ใส่ปลาไหลย่างอยู่ร้านหนึ่ง ฝีมือที่ปรุงรสได้เป็นเลิศของเจ้าของร้านทำให้ขายดีเป็นที่หนึ่ง สาเหตุก็เพราะวิธีย่างปลาไหลที่ไม่เหมือนใคร เขาใช้ปลาไหลเป็นๆปล่อยลงไปบนแผ่นเหล็กที่มีขอบโดยรอบ ปลาไหลที่ถูกเผาจะดิ้นไปมาอยู่บนกระทะเหล็ก ซึ่งตั้งอยู่บนเตาร้อนๆ จนกระทั่งหนังของมันไหม้สุกและหลุดออกไป ปลาไหลต้องทรมานอยู่อย่างนี้จนตาย! เสร็จแล้วจึงถูกนำขึ้นมาสับวางบนบะหมี่ ลูกค้าทั้งหลายที่ติดอกติดใจในรสชาด ต่างพากันมาอุดหนุนจนแน่นร้านทุกวัน      อยู่มาคืนหนึ่งเจ้าของร้านบะหมี่อันลือชื่อได้ออกไปเที่ยวกลางดึกแล้วหายไปไม่กลับมา เช้าวันรุ่งขึ้นลูกๆจึงออกตามหาก็พบว่า เจ้าของร้านบะหมี่ผู้เป็นพ่อกลายเป็นศพลอยมาติดอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเสียแล้ว      ขณะที่ชาวบ้านช่วยกันเอาศพขึ้นจากน้ำ ทุกคนก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นปลาไหลมากมายกัดติดรอบๆเอวของศพเจ้าของร้านขายบะหมี่จนแน่น      ผู้คนที่มามุงดูต่างพูดกันว่าเป็น "กฎแห่งกรรม ทำมาหากินโดยฆ่าผู้อื่น สุดท้าย ก็ต้องตายเพราะถูกเขาฆ่า"