ตั้งแต่โบราณกาลมา ตราบจนกระทั่งวินาทีนี้ " กฎแห่งกรรม" ยังคงปรากฎให้เห็นกระจ่างชัด ไม่เคยปิดบังอำพราง ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุผล ประจักษ์พยานมีให้เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตาทุกคน แล้วยังจะมีอะไรที่ต้องลังเลสงสัยอีกหรือ? ทุกวันนี้ทั่วทั้งโลกต่างรบราฆ่าฟันกัน จนแม้แต่อาหารก็ไม่มีจะกิน ภัยพิบัติมากมายก็กระหน่ำซ้ำเติมไม่หยุด ผู้มีญาณปัญญาทั้งหลายล้วนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า " เพราะการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนั่นแหละ!" หาใช่ ผีสาง เทวดา เจ้าป่าเจ้าเขา ลงโทษไม่ แท้จริงภัยพิบัติทั้งหลายเป็นผลจากความชั่วที่มนุษย์เป็นผู้ก่อไว้เองทั้งสิ้น พระอริยะเจ้าทุกพระองค์ เมื่อบรรลุสัจธรรมยิ่งใหญ่แล้วมีพระองค์ใดบ้างที่ไม่สอนให้มนุษย์เว้นจากการ "ฆ่า" อาศัยเมตตาธรรมเท่านั้นจึงสามารถค้ำจุนให้โลกนี้สงบลงได้ หากมีคนหนึ่งที่ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ก็จะต้องมีหนึ่งคนที่รอดพ้นภัยพิบัติไปได้ หากมีหนึ่งครอบครัวที่ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตก็จะมีหนึ่งครอบครัวที่รอดตาย หากมีหนึ่งตำบล...หนึ่งอำเภอ...หนึ่งประเทศที่ไม่คิดฆ่าผลก็เป็นเช่นเดียวกันคือ "ไม่ตายเพราะบาปกรรม" คนที่ไ
ในสมัยราชวงศ์ หมิง มีนักปฏิบัติธรรมผู้หนึ่ง นามว่า หวง จี่ ซื่อ แม้ว่าในขณะนั้นแผ่นดินจะร้อนระอุไปด้วยเภทภัยรอบด้าน ผู้คนล้มตายลงอย่างน่าอนาถ แต่เขาก็ยังมุ่งมั่นสร้างความดี โดยมิได้หวั่นไหวแม้แต่น้อย จิตใจของ หวง จี่ ซือ มีแต่ความเมตตาห่วงใย เอื้ออาทรต่อทุกชีวิต เขาทราบว่าบนเขามีพระสงฆ์ผู้ซึ่งบรรลุธรรมสูงสุดสามารถหยั่งรู้ฟ้าดินและเหตุการณ์ความเป็นไปทั้งหลายในโลก หวง จี่ ซือ ผู้บำเพ็ญธรรมจึงเดินทางขึ้นเขาเพื่อขอคำชี้แนะจากท่าน เขาได้กราบนมัสการถามพระอริยสงฆ์องค์นั้นว่า "ข้าแต่พระคุรเจ้าผู้สูงยิ่งด้วยบารมีธรรม เวลานี้ผู้คนนับล้านล้มตายลงมากมายเนื่องด้วยภัยพิบัตินานับประการ ยากที่จะมีใครรอดพ้นได้ ขอพระคุณเจ้าได้โปรดเมตตาชี้แนะวิธีที่สามารถจะหยุดยั้งมหันตภัยนั้นให้ได้ทันการ ด้วยเถิด" พระคุณเจ้าผู้เปี่ยมด้วยเมตตา ดวงหน้าของท่านมีรอยยิ้มปรากฎขึ้นพร้อมกับกล่าวว่า " มีอย่างเดียว...อย่าฆ่าสัตว์! จงช่วยกันปลดปล่อยชีวิตสัตว์ทั้งหลายเถิด" กล่าวจบ ท่านก็หลับตาลงนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรอีกเลย