ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

มิใช่แค่ความฝัน


     หมู่บ้านแถบริมน้ำในมณฑล เจียงซู ผู้คนส่วนใหญ่หาเลี้ยงชีพด้วยการจับสัตว์น้ำ ไปขาย 
     ในหมู่บ้านนั้นมีเศรษฐีคนหนึ่ง แซ่ เจา ชอบกินเนื้อตะพาบน้ำที่สุด เขามักจะออกปากชักชวนชาวบ้านให้จับตะพาบน้ำตัวใหญ่ๆ พร้อมกับสัญญาว่าจะรับซื้อโดยให้ราคาสูง ดังนั้นชาวบ้านทั้งหลายจึงแห่กันไปจับตะพาบน้ำเพื่อนำไปขายให้แก่เศรษฐีเจา ทุกวัน
     อยู่มาวันหนึ่ง เศรษฐีเจาหลับฝันว่า ได้ไปถึงศาลแห่งหนึ่ง ณ ที่นั้นมีวิญญาณของชายคนหนึ่ง กำลังฟ้องร้องเขาต่อพญายมที่ประทับอยู่เหนือบัลลังก์ว่า
     "ข้าผู้น้อยได้ไปเกิดเป็นตะพาบน้ำเพื่อชดใช้กรรม ตลอดเวลาจึงตั้งใจบำเพ็ญภาวนาจำศีลอยู่ในถ้ำใต้น้ำ ไม่เคยมีเรื่องกับเศรษฐีเจาเลย แต่เขาเป็นคนมั่งมีร่ำรวยเสียเปล่า กลับไม่รู้จักสร้างบุญกุศล ทุกวันคิดหาแต่เรื่องกิน ร้ายยิ่งกว่านั้นยังชักชวนให้ผู้อื่นจับพวกเราไปขาย ตลอดเวลาชายผู้นี้ฆ่าลูกหลานของข้าผู้น้อยตายไปมากมายจนนับไม่ถ้วน นรกภูมิจะปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่อีกหรือ?"
     เศรษฐีเจา ได้ยินเช่นนั้นก็กลัวจนตัวสั่น ไม่กล้าโต้แย้งแต่อย่างใด รีบคุกเข่าโขกศีรษะต่อวิญญาณของชายผู้นั้น ระล่ำระลักวิงวอนว่า
     "ขอท่านได้โปรดยกโทษให้ข้าสักครั้งเถิด ต่อไปข้าจะไม่ฆ่าไม่กินสัตว์อีกและจะตั้งใจสร้างบุญกุศลปล่อยสัตว์ไปตลอดชีวิต ขอท่านเมตตาด้วยเถิด"
     เศรษฐีเจาคุกเข่าอยู่นานเฝ้าวิงวินแล้ววิงวอนอีก จนกระทั่งวิญญาณของชายผู้นั้นใจอ่อน จึงกราบทูลพญายมผู้เป็นใหญ่ว่า
     "ข้าผู้น้อย ยินยอมเว้นโทษให้แก่เขา...พระเจ้าข้า"
     ท่านพญายมแห่งนรกภูมิ จึงลงโทษสถานเบาโดยใช้ไม้ตะบองเฆี่ยนที่ขาทั้งสองของเศรษฐีเจา เสร็จแล้วจึงกล่าวเตือนสติเขาว่า
     "คนที่มีจิตใจเมตตาเกิดขึ้นได้สักนิดหนึ่ง
     ไม่ว่า ภูติผี หรือ เทวดา ก็จะยินดีสนับสนุน
     หากต่อไป เจ้าสามารถทำได้อย่างที่พูด
     ก็จะประสบแต่สิ่งดีๆ เป็นมงคลแก่ชีวิต
     ถ้ายังประพฤติตัวอย่างเดิม นรกก็จะไม่เว้นเจ้าอีก...จงจำไว้ให้ดี
     กล่าวจบพญายมจึงสั่งให้ยมฑูตนำเขากลับมาบนโลก
     เศรษฐีเจาตกใจตื่น พยายามลุกขึ้นแต่ก็ลุกไม่ไหวเมื่อก้มลงมองดูก็พบว่า ขาทั้งสองข้างของเขาบวมเป่ง! มีรอยถูกตีด้วยไม้จนเขียวช้ำเป็นแนว! เขาเจ็บปวดมากต้องนอนซมเดินไม่ได้หลายวัน ต่อมาจึงเล่าให้คนในบ้านฟังว่าเกิดอะไรขึ้นในความฝัน
     ตั้งแต่นั้นเขาสั่งให้ทุกคนในบ้านห้ามฆ่าสัตว์ เลิกกินเนื้อสัตว์ทุกชนิดไม่ว่าจะเป็น วัว ควาย หมู เป็ด ไก่ นอกจากนี้ยังใช้เงินซื้อสัตว์มากมายเพื่อนำไปปล่อยเป็นประจำ
     ไม่นานนักเศรษฐี เจา ผู้เคยชอบรับซื้อตะพาบน้ำ ก็กลับมีชื่อเสียงในความมีเมตตาจิตใจบุญสุนทานจนเป็นที่โจษขานของผู้คนทั้งหมู่บ้าน


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

สละเนื้อช่วยนก

ในกาลก่อน เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่บำเพ็ญโพธิสัตว์ธรรม ยังมิได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า     วันหนึ่งพระองค์ได้ทรงทอดพระเนตรเห็นเหยี่ยวตัวใหญ่ที่ผอมโซ กำลังบินไล่ล่านกตัวเล็กๆ หมายจะกินเป็นอาหาร วิหกน้อยหวาดกลัวเป็นอันมาก มันพยายามบินหนีเพื่อเอาชีวิตรอดจนสุดกำลัง ครั้นได้แลเห็นพระบรมโพธิสัตว์ประทับอันอยู่มิไกล นกน้อยตัวนั้นจึงโผบินลงสู่อ้อมอก ของพระองค์ทันที    พญาเหยี่ยวไม่กล้าติดตามเข้าไปใกล้ ได้แต่เฝ้าบินวนอยู่ไม่ไปไหน เมื่อเป็นเช่นนี้ พญาเหยี่ยวผู้หิวโหยจึงพูดขึ้นด้วยความโมโหว่า    "ข้าแต่พระโพธิสัตว์เจ้า!  พระองค์อยากช่วยนกตัวเล็กๆ  แล้วจะปล่อยให้ข้าบาทต้องอดตายหรืออย่างไร?"     พระมหาโพธิสัตว์เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ทรงยิ้มแล้วตรัสแก่พญานกว่า     "ท่านประสงค์จะกินสิ่งใด เพื่อคลายหิวเล่า?"     พญาเหยี่ยวได้ทูลตอบทันทีว่า     "ข้าพระองค์ อยากกินเนื้อเป็นอาหาร"     พระโพธิสัตว์จึงตรัสว่า    " ถ้าเช่นนั้นเรายินดีมอบเนื้อของเรา ให้เป็นอาหารแก่ท่านแทนเนื้อของนกน้อยตัวนี้"     ขณะที่พระมหาโพธิสัตว์กำลังจะตัดเนื้อที

เมตตาธรรมค้ำจุนโลก

     ในสมัยราชวงศ์ หมิง มีนักปฏิบัติธรรมผู้หนึ่ง นามว่า หวง จี่ ซื่อ แม้ว่าในขณะนั้นแผ่นดินจะร้อนระอุไปด้วยเภทภัยรอบด้าน ผู้คนล้มตายลงอย่างน่าอนาถ แต่เขาก็ยังมุ่งมั่นสร้างความดี โดยมิได้หวั่นไหวแม้แต่น้อย      จิตใจของ หวง จี่ ซือ มีแต่ความเมตตาห่วงใย เอื้ออาทรต่อทุกชีวิต เขาทราบว่าบนเขามีพระสงฆ์ผู้ซึ่งบรรลุธรรมสูงสุดสามารถหยั่งรู้ฟ้าดินและเหตุการณ์ความเป็นไปทั้งหลายในโลก หวง จี่ ซือ ผู้บำเพ็ญธรรมจึงเดินทางขึ้นเขาเพื่อขอคำชี้แนะจากท่าน เขาได้กราบนมัสการถามพระอริยสงฆ์องค์นั้นว่า       "ข้าแต่พระคุรเจ้าผู้สูงยิ่งด้วยบารมีธรรม เวลานี้ผู้คนนับล้านล้มตายลงมากมายเนื่องด้วยภัยพิบัตินานับประการ ยากที่จะมีใครรอดพ้นได้ ขอพระคุณเจ้าได้โปรดเมตตาชี้แนะวิธีที่สามารถจะหยุดยั้งมหันตภัยนั้นให้ได้ทันการ ด้วยเถิด"       พระคุณเจ้าผู้เปี่ยมด้วยเมตตา ดวงหน้าของท่านมีรอยยิ้มปรากฎขึ้นพร้อมกับกล่าวว่า      " มีอย่างเดียว...อย่าฆ่าสัตว์! จงช่วยกันปลดปล่อยชีวิตสัตว์ทั้งหลายเถิด"       กล่าวจบ ท่านก็หลับตาลงนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรอีกเลย

กรรมตามทัน

     ในวัดเก่าแก่แห่งหนึ่ง มีสมุดบันทึกเขียนเล่าว่า      ที่มณฑล ซูโจว มีร้านขายบะหมี่ใส่ปลาไหลย่างอยู่ร้านหนึ่ง ฝีมือที่ปรุงรสได้เป็นเลิศของเจ้าของร้านทำให้ขายดีเป็นที่หนึ่ง สาเหตุก็เพราะวิธีย่างปลาไหลที่ไม่เหมือนใคร เขาใช้ปลาไหลเป็นๆปล่อยลงไปบนแผ่นเหล็กที่มีขอบโดยรอบ ปลาไหลที่ถูกเผาจะดิ้นไปมาอยู่บนกระทะเหล็ก ซึ่งตั้งอยู่บนเตาร้อนๆ จนกระทั่งหนังของมันไหม้สุกและหลุดออกไป ปลาไหลต้องทรมานอยู่อย่างนี้จนตาย! เสร็จแล้วจึงถูกนำขึ้นมาสับวางบนบะหมี่ ลูกค้าทั้งหลายที่ติดอกติดใจในรสชาด ต่างพากันมาอุดหนุนจนแน่นร้านทุกวัน      อยู่มาคืนหนึ่งเจ้าของร้านบะหมี่อันลือชื่อได้ออกไปเที่ยวกลางดึกแล้วหายไปไม่กลับมา เช้าวันรุ่งขึ้นลูกๆจึงออกตามหาก็พบว่า เจ้าของร้านบะหมี่ผู้เป็นพ่อกลายเป็นศพลอยมาติดอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเสียแล้ว      ขณะที่ชาวบ้านช่วยกันเอาศพขึ้นจากน้ำ ทุกคนก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นปลาไหลมากมายกัดติดรอบๆเอวของศพเจ้าของร้านขายบะหมี่จนแน่น      ผู้คนที่มามุงดูต่างพูดกันว่าเป็น "กฎแห่งกรรม ทำมาหากินโดยฆ่าผู้อื่น สุดท้าย ก็ต้องตายเพราะถูกเขาฆ่า"