ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก พฤศจิกายน, 2013

ฆ่าหมูกรรมสนอง

     เสียน ซื่อ เป็นพ่อค้าเนื้อหมูในอำเภออันวุย เขาฆ่าหมูมาเป็นเวลากว่า ๒๐ ปี จนมั่งคั่งร่ำรวย และมีบ้านใหญ่โตถึง ๓ หลัง รวมทั้งที่นาอีกหลายร้อยไร่      เช้าตรู่ตอนตีห้าวันหนึ่ง ภรรยาของเขาได้ลุกไปเข้าห้องน้ำ ขณะที่เดินผ่านคอกหมูท่ามกลางแสงสลัวๆ นางได้มองเห็นร่างของผู้หญิงสองคนนอนเหยียดอยู่ในคอกไม่ว่าจะขยี้ตาอย่างไรภาพนั้นก็ยังคงปรากฎชัดเจนต่อสายตาของนาง ภรรยาพ่อค้าหมูตกใจมากรีบวิ่งไปบอกสามีว่า       "มันเป็นลางไม่ดีเลย ต่อไปนี้เราควรเลิกอาชีพฆ่าหมูขาย เปลี่ยนไปทำอย่างอื่นเสียจะดีกว่า"       แต่ชายพ่อค้าหมูไม่เห็นด้วย เขายังคงยืนยันอย่างแข็งกร้าวว่าจะยึดอาชีพฆ่าหมูขายต่อไป ฝ่ายภรรยาของเขาก็ไม่ยอมแพ้ นางโมโหมากจึงเก็บเอามีดฆ่าหมูทั้งหมดไปโยนทิ้งลงในหลุมส้วม ชายผู้เป็นสามีหมดสิ้นความอดทนอีกต่อไป ทั้งสองจึงโต้เถียงกันอย่างรุนแรง ในที่สุดเมื่อไม่สามารถตกลงกันได้ จึงประกาศแยกทางกัน โดยเชิญพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายมาแบ่งทรัพย์สมบัติ      ภรรยาของ เสียน ซื่อ รับเอาลูกคนเล็กไปอยู่ด้วย ส่วนลูกชายคนโตตัวเขาเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดู      หลังจากแยกทางกันแล้ว เสียน ซื่อ ก็ยังคงฆ่า

สมควรตาย

     เฉิน ซื่อ เป็นคนแจวเรือจ้าง ในเดือนสามปีหนึ่งเขาได้ฝันเห็นชายชราผมขาวมาขอร้องเขาว่า       "วันพรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะมีภัยมาถึง ขอท่านได้โปรดช่วยเหลือสักครั้งเถิด แล้วต่อไปภายหน้าข้าพเจ้าจะตอบแทนบุญคุณ" พอตื่นขึ้น เฉิน ซื่อ คิดว่าความฝันนี้แปลกประหลาดไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร วันต่อมาขณะที่เขากำลังแจวเรือส่งผู้โดยสาร ก็ได้ยินเสียงคนแจวเรือที่อยู่ข้างๆร้องเอะอะ เมื่อเขาเดินไปดูที่หัวเรือจึงพบว่า มีนากทะเลตัวหนึ่งถูกคนล้อมจับเอาไว้ได้      ในเวลานั้นบนเรือมีผู้โดยสารท่านหนึ่ง เกิดความเวทนาสงสารจึงออกปากขอเสนอให้เงินแก่บรรดาคนแจวเรือทั้งหลาย เป็นเงินถึง ๕๐๐ เหรียญ เพื่อให้ปล่อยนากทะเลตัวนั้นไป ทุกคนก็ตกลงยินดีทำตาม มีเพียงนาย เฉิน ซื่อ คนเดียวเท่านั้นที่ไม่เห็นด้วย ในใจของเขาเต็มไปด้วยความละโมบปราศจากเมตตา เขาได้โต้แย้งว่า       " แกรู้หรือเปล่าว่า แค่หนังของเจ้านากทะเลตัวนี้มันราคาเท่าไหร่แล้ว! เงินแค่ ๕๐๐ เหรียญจะซื้ออะไรได้!"       ผู้โดยสารที่ใจบุญท่านนั้น กำลังจะเจรจาให้เงินเพิ่ม แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก นาย เฉิน ซื่อ ก็ใช้ฉมวกอันแหลมคมแทงหัวนากทะเล จนสมองแตกกร

ไฟแค้นจิ้งจอก

     ในสมัยราชวงศ์ ชิง ที่มณฑล เหว่ย หนาน เศรษฐีเจ้าของโรงรับจำนำใหญ่แห่งหนึ่งชื่อ หวง เมี้ยว แม้ว่าเขาจะร่ำรวยมากแล้วแต่ก็ไม่รู้จักคำว่าพอ คอยคิดแต่จะเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นอยู่เสมอไม่ว่าเรื่องอะไร      วันหนึ่งเขาต่อเติมขยายบ้านที่อยู่อาศัย จนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของคนอื่น ขณะกำลังโต้เถียงกันอยู่ เขาเหลือบไปเห็นลูกสุนัขจิ้งจอกตัวเล็กๆ ๓ ตัวไต่อยู่บนกำแพงจึงใช้ไม้ไล่ตีใครห้ามเขาก็ไม่ฟังอ้างว่า       "มันจะไม่ได้ต้องเข้ามาในบ้านข้า!"       หวงเมี้ยวตีลูกสุนัขจิ้งจอกตายไป ๒ ตัว มีตัวหนึ่งหนีรอดไปได้ นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ครอบครัวของเขาก็ประสบเหตุการณ์ร้ายๆแทบทุกวัน ไม่เคยได้อยู่อย่างสงบเลย      จนกระทั่งย่างเข้าเดือนสิบสอง โรงรับจำนำของเขาก็เกิดไฟไหม้โดยไม่รู้สาเหตุ แต่ก็สามารถดับได้ทัน เขาเชื่อว่าจะต้องเกิดจากแรงอาฆาตของลูกสุนัขจิ้งจอกที่ถูกเขาทำร้ายอย่างแน่นอน      หวงเมี้ยว เดินทางไปขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ แซ่จาง ผู้ซึ่งมีความรอบรู้ในเรื่องเวทมนต์ อาจารย์จางได้ให้ผ้ายันต์ผืนหนึ่งมาติดที่หน้าบ้าน เหตุการณ์ร้ายๆก็มีทีท่าว่าจะสงบลง แต่ไม่กี่เดือนต่อมาเพทภัย

ตายเหมือนนก

     ในมณฑล เจียง ซู มีชายหนุ่มผู้หนึ่ง แซ่หลี่ เป็นคนโอ่อ่าแต่งกายหรูหราราวกับลูกเศรษฐี นิสัยของเขาฝักใฝ่แต่การกระทำที่ผิดๆอยู่ตลอดเวลา      บ้านของนายหลี่อยู่ติดริมน้ำซึ่งบริเวณนั้นชาวบ้านในอดีตได้ปลูกต้นไผ่ไว้ เพื่อช่วยป้องกันมิให้น้ำพัดดินขอบตลิ่งพัง ด้วยใบที่เขียวชะอุ่มและหนาแน่นของต้นไม้ไผ่ริมน้ำ สร้างความร่มรื่น จึงเป็นที่ให้บรรดานกทั้งหลายมาสร้างรังอยู่กันเป็นจำนวนมาก      เหตุนี้เอง คนหนุ่มที่คึกคะนองอย่างนายหลี่ จึงคิดสร้างปืนไปยิงนกด้วยตนเองตั้งแต่ยังเป็นเด็กวัยรุ่น ครั้นพอโตขึ้นก็ชอบคบหาสมาคมกับพวกนายทหาร นายหลี่และเพื่อนทหารมักชวนกันออกไปล่าสัตว์ยิงนกโดยถือเป็นกีฬาที่ชื่นชอบสนุกสนาน ตลอดเวลาที่ผ่านไปนกที่ถูกฆ่าตายด้วยฝีมือนายหลี่มีจำนวนนับเป็นหมื่นๆตัว แม้อายุล่วงเข้าสู่วัยชราแล้วเขาก็ไม่เคยคิดจะเลิกเบียดเบียนเข่นฆ่าชีวิตผู้อื่น      จนกระทั่งเมื่อนายหลี่อายุได้ ๕๐ ปี ในตอนเช้าวันหนึ่งเขาก็เกิดอาการผวาตกใจสะดุ้งตื่นยกมือยกเท้าขึ้นเตะถีบปัดไปปัดมาพร้อมกับร้องตะโกนว่า       "มีนกเยอะแยะไปหมด! มันมาจิกหน้าจิกตาข้า!      เจ็บ!...เจ็บจนสุดจะทนแล้ว!"  

กรรมทันตา

     ที่มณฑล เจียงซี อำเภอ หลูหลิง มีพรานล่าสัตว์คนหนึ่งชื่อ อู่ถัง ฝีมือยิงธนูของเขาเก่งฉกาจมาก ทุกครั้งที่ออกไปล่าสัตว์ นายพรานผู้นี้จะพาลูกชายไปด้วยเสมอ      วันหนึ่ง ขณะที่อู่ถังกำลังแอบซุ่มดักสัตว์ ก็เหลือบไปเห็นแม่กวางเดินเที่ยวเล่นอยู่ไม่ไกล ลูกกวางตัวน้อยรู้สึกอบอุ่นและเป็นสุขใจอย่างยิ่งที่ได้อยู่ใกล้ๆแม่      ขณะนั้นเองนายพรานอู่ถัง ก็น้าวคันธนูยิงออกไป เพียงเสี้ยววินาทีลูกธนูอันแหลมคมก็พุ่งแหวกอากาศไปอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าตรงเข้าเสียบทะลุสีข้างของลูกกวางทันที! ความแรงของลูกธนูทำให้ลูกกวางล้มลง และแล้วชีวิตของลูกกวางน้อยก็ถูกพิฆาตให้ดับดิ้นตายจากแม่ของมันไปในเวลาไม่กี่อึดใจ!       แม่กวางเห็นลูกน้อยแสนรักตายไปต่อหน้าโดยมิทันได้ปกป้อง ก็หวีดร้องออกมาเหมือนดังจะขาดใจ มันวิ่งอ้อมไปอ้อมมาพร้อมกับใช้ลิ้นเลียบาดแผลเพื่อให้เลือดหยุดไหล แม่กวางพยายามใช้จมูกทั้งดันทั้งเขย่าตัวลูกกวางอยู่ตลอดเวลา หวังจะให้ลูกน้อยฟื้นคืนกลับมามันเป็นภาพที่แสนรันทดใจเสียเหลือเกิน...       แต่นายพรานนักยิงธนูไม่รู้สึกสำนึกแต่ประการใด เขายังคงแอบซุ่มอยู่ในพงหญ้า ยามที่แม่กวางกำลังเฝ้าพิร่ำพิไ

เสียงสวรรค์

มหากุศล

เครดิตภาพคุณ dekdee จากเวป  www.arunsawat.com จักจั่นที่พบเห็นอยู่ตามกิ่งไม้ ช่วงชีวิตนั้นแสนสั้น อยู่ได้เพียงไม่กี่วันก็ต้องตาย คนที่คิดจะจับมาเพื่อความสนุกเพลิดเพลินควรมีใจคิดสงสาร มนุษย์ทั้งหลายไม่ว่าร่ำรวยหรือยากจน สูงศักดิ์หรือต่ำต้อย โง่เขลาหรือฉลาด สุดท้าย...ก็มีวันที่ต้องตายจากโลกนี้ไปเช่นเดียวกัน หลักธรรมคำสอนในคัมภีร์ ในหนังสือธรรมะ ผู้ใดหมั่นศึกษา หมั่นพิจารณา หมั่นปฏิบัติให้มาก ก็จะค่อยๆ แปรเปลี่ยนจิตใจและอุปนิสัยให้ดีงาม เมื่อสามารถเข้าถึง "ธรรม" ก็จะสำนึกในพระคุณของฟ้าดิน "กฎแห่งกรรม" ใครทำดี ย่อมได้ดี ใครทำชั่วย่อมได้ชั่ว เป็นกฎธรรมชาติที่สุด หากรู้แล้วยังไม่เชื่อ ไม่ปฏิบัติ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เอาแต่ฆ่าสัตว์ กินสัตว์ ทำลายผู้อื่น สุดท้ายต้องจบชีวิตกันอย่างไร...ใครบ้างที่รู้? หากยึดถือแต่ทิฐิตลอดเวลา สิ่งที่ผิด พูดว่าถูก สิ่งที่ถูกกลับว่าผิด ย่อมทำชั่วกันได้ไม่หยุดยั้ง บาปกรรมจะทบทวีท่วมฟ้า! สาธุชนผู้ที่สามารถพิจารณาจนเห็นแจ้งในสัจธรรม ย่อมจะบังเกิดศรัทธามั่นคง หนักแน่นจริงใจ สามารถ

เสียงคำอำลา

     ในสมัยราชวงศ์ ซ้ง มีนายอำเภอท่านหนึ่งแซ่ พัน เป็นคนที่ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรม ทุกวันหลังจากเสร็จสิ้นภาระกิจการงาน ท่านชอบศึกษาพระคัมภีร์ของพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ซึ่งอบรมให้เราหมั่นสำนึกตนอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสอนให้มนุษย์ทุกคนมีความเมตตากรุณาต่อทุกชีวิตในโลก อันเป็นจิตเมตตาที่กว้างใหญ่ดุจฟ้าดิน      ตั้งแต่เริ่มเข้ามาดำรงตำแหน่งเป็นนายอำเภอ ท่านได้ติดประกาศสั่งห้ามมิให้จับสัตว์ไม่ว่าจะเป็นสัตว์บกหรือสัตว์น้ำ หากผู้ใดฝ่าฝืนต้องถูกลงโทษ เพราะฉะนั้นทุกหนทุกแห่งที่นายอำเภอท่านนี้ไปปกครองดูแล สัตว์ทั้งหลายก็จะมีชีวิตอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขไม่ต้องกลัวถูกคนทำร้าย บรรดาสัตว์น้ำพวก ปลา ปู กุ้ง หอย ก็พากันแหวกว่ายไปมาอย่างสบายๆ      เวลาแห่งความสุขมันช่างสั้นเสียเหลือเกิน วาระที่นายอำเภอใจบุญจะต้องโยกย้ายไปประจำอยู่ในเมืองอื่นก็ได้เวียนมาถึง กลางดึกคืนนั้นท่านหลับฝันไปว่า ในแม่น้ำลำธารและป่าเขา มีเสียงของสัตว์มากมายหลายหมื่นชีวิตรำ่ร้องดังออกมาว่า      " ท่านผู้มีเมตตาจิตกำลังจะจากพวกเราไปแล้ว! ในภายหน้าเราคงต้องจะถูกเข่นฆ่าเอาชีวิตอีกเป็นแน่!"       ในความฝันเสียง

ปล่อยงูได้ลูกแก้ว

     ในสมัยราชวงศ์ฮั่น มีท่านอ๋องพระองค์หนึ่งได้รับสนองพระราชโองการ จากองค์จักรพรรดิแต่งตั้งให้เป็นราชฑูตเพื่อไปเจริญสัมพันธไมตรีกับแค้วนต่างๆ      ครั้งหนึ่ง ในระหว่างที่ท่านอ๋องเดินทางผ่านทะเลทรายอันร้อนระอุ ได้พบงูตัวหนึ่ง กำลังดิ้นกระเสือกกระสน พยายามจะไปให้ไกลถึงแอ่งน้ำใกล้ๆ พระองค์สังเกตเห็นว่ามันได้รับบาดเจ็บที่หัวมีเลือดไหล และอ่อนระโหยโรยแรงเต็มที่ ท่านอ๋องราชฑูตจึงหยุดพักการเดินทางแล้วนำยาสมุนไพรมาทารักษาให้ หลังจากนั้นพระองค์ก็ใช้ไม้เท้าค่อยๆประคองงูตัวนั้นลงไปในแอ่งน้ำ มันจึงสามารถฟื้นตัวและว่ายตามน้ำไป      อีกหลายเดือนต่อมา เมื่อท่านอ๋องเดินทางกลับจากหัวเมืองชายแดนผ่านมาที่เดิมก็พบงูตัวที่ท่านเคยช่วยเหลือมาคอยท่าอยู่ ปากของมันคาบลูกแก้วลูกหนึ่งเอาไว้ ครั้นเหลือบเห็นท่านอ๋องผู้มีพระคุณเข้ามาใกล้ มันจึงคายลูกแก้ววางลงบนพื้นทราย ลูกแก้วนั้นยามต้องแสงอาทิตย์ก็ส่องประกายระยิบระยับดูสวยงาม ท่านอ๋องทรงเป็นผู้มีจิตใจงดงามสะอาดหมดจดพระองค์ช่วยเหลือผู้อื่นโดยมิหวังผลตอบแทน เมื่อเห็นงูนำลูกแก้วมามอบให้เพื่อตอบแทนที่เคยช่วยชีวิต ท่านก็มิกล้ารับไว้แต่อย่างใด      ในคืนนั้นท

ลูกหลานกำไลหยก

     ในสมัยราชวงศ์ฮั่น ณ ดินแดนแถบทิศเหนือบนเทือกเขา หัว อิน ชัน สามีภรรยาสกุล "หยาง" เป็นชาวไร่ชาวนาได้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง ทั้งสองตั้งชื่อให้ว่า "หยางเปา"       หยางเปา เกิดในท่ามกลางธรรมชาติที่แวดล้อมด้วยทิวเขาอันเงียบสงบ ซึ่งกล่อมเกลาจิตใจของเด็กน้อยให้งดงามละเอียดอ่อน ครั้นเติบโตเจริญวัยมีอายุได้ ๙ ขวบ เขามีจิตใจเมตตาโอบอ้อมอารีย์ น่ารักเฉลียวฉลาด ไม่ว่าใครได้พบเห็นก็รักใคร่เอ็นดู       วันหนึ่ง ขณะที่หยางเปากำลังเดินเล่นอยู่ตามไหล่เขา ก็พบนกกระจิบตัวหนึ่งได้รับบาดเจ็บตกอยู่ที่พื้นมิหนำซ้ำยังถูกฝูงมดรุมกัดจวนจะสิ้นใจ หนูน้อยรู้สึกสงสารจับใจจึงรีบตรงเข้าไปประคองนกน้อยตัวนั้นทันที แล้วค่อยๆปัดมดออกจนหมด      เมื่อกลับถึงบ้าน เขาก็เก็บกิ่งไม้ไผ่มาทำกรงเพื่อให้นกพักอาศัย ทุกๆวันเด็กน้อยจะเก็บดอกไม้สีเหลืองซึ่งเป็นยาสมุนไพรมารักษา เวลาผ่านไปไม่นานนกกระจิบตัวนั้นก็หายดีเป็นปกติ มีขนขึ้นเต็มดูสวยงามดังเดิม เขาจึงปล่อยให้มันบินขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง      อยู่มาคืนหนึ่ง หยางเปา ได้ฝันไปว่า มีกุมารน้อยล่องลอยจากฟ้าลงมาคารวะขอบคุณเขาและกล่าวว่า       "

ผลของเมตตาจิต

     คนแซ่ ฟั่น อาศัยอยู่ในมณฑล เจียงซู ภรรยาของเขาได้ป่วยเป็นวัณโรค อาการหนักมากใกล้จะตายแต่มีหมอแนะนำให้ใช้มันสมองของนกกระจอก ๑๐๐ ตัว มากินเป็นยา และต้องกินให้ได้ครบตามจำนวนภายใน ๒๑ วัน จะขาดไปสักตัวเดียวก็ไม่ได้ มิเช่นนั้นการรักษาก็จะไร้ผล      นายฟั่น ผู้เป็นสามีจึงรีบออกหาซื้อนกกระจอกจนได้ครบ ๑๐๐ ตัว เขาตั้งใจจะนำมาใช้รักษาภรรยาผู้เป็นที่รักยิ่งของตน แต่เมื่อภรรยาของเขาทราบก็โกรธเคืองมาก และพูดขึ้นว่า       "ข้าพเจ้าคนเดียวก็มีชีวิตเดียว แต่เพียงเพื่อรักษาชีวิตตัวเองไว้ กลับต้องทำลายชีวิตผู้อื่นถึงหนึ่งร้อยชีวิต เช่นนี้แล้วข้าพเจ้ายอมตายเสียดีกว่า นกกระจอกแม้แต่ตัวเดียวข้าพเจ้าก็จะไม่ยอมให้ท่านฆ่า และหากแม้นว่าท่านรักข้าพเจ้าอย่างแท้จริง ก็จงปล่อยนกทั้งหมดไปเถิด ทำได้เช่นนี้ข้าพเจ้าจึงจะสบายใจและเป็นสุข"       ฝ่ายสามีเมื่อได้ฟังคำวิงวอนของภรรยาแล้วก็ใจอ่อน เขาจึงตัดสินใจปล่อยนกไปทั้งหมด หลังจากนั้นไม่นานนักภรรยาของเขาก็มีอาการดีขึ้น โรคร้ายก็ค่อยๆทุเลาลงและหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ โดยที่นางไม่ได้กินยาใดๆเลย      ในปีต่อมา ภรรยาของเขาก็ได้ให้กำเนิดลูกชายที่น่าร

เขียนคัมภีร์ลดกรรม

     ในสมัยราชวงศ์ถัง มีข้าราชการหนุ่มชั้นผู้น้อยคนหนึ่งนามว่า พันกั่ว วันหนึ่งเขากับเพื่อนๆ ออกไปเที่ยวเล่นที่ชายทุ่งเห็นแพะตัวหนึ่งกำลังกินหญ้าอยู่ใกล้ๆ กับหลุมฝังศพ พันกั่วมองดูรอบๆ ไม่เห็นคนเลี้ยงจึงชักชวนเพื่อน ให้ช่วยกันจับแพะกลับไป      แต่แพะเมื่อเห็นคนแปลกหน้าลากจูงไปก็ร้องขึ้นไม่ยอมหยุด ข้าราชการหนุ่มกลัวว่าเจ้าของแพะจะได้ยิน เขาจึงใช้มือจับลิ้นแล้วกระชากอย่างแรง จนลิ้นของมันขาด! แพะที่น่าสงสารเจ็บปวดทรมาณแสนสาหัสมิหนำซ้ำยังถูกฉุดกระชากลากถูไปตลอดทาง เมื่อถึงบ้านเขาก็จัดการฆ่าแพะทำอาหารเลี้ยงเพื่อนฝูงเป็นที่สนุกสนาน      เวลาผ่านไปครึ่งปี พันกั่วก็มีอาการประหลาด อยู่ดีๆ ลิ้นของเขาก็หดสั้นลงๆ จนเหมือนคนไม่มีลิ้น เขาตัดสินใจลาออกจากราชการ เพื่อกลับไปบ้านเดิมที่อำเภอ ฟู่ ผิง       เมื่อเขานำหนังสือลาออกไปยื่นต่อท่านนายอำเภอผู้เป็นหัวหน้า ท่านอ่านดูแล้วก็ยังคลางแคลงสงสัยว่า พันกั่ว จะโกหก จึงสั่งเขาอ้าปากให้ดู ท่านนายอำเภอรู้สึกฉงนสนเท่ห์แทบไม่เชื่อสายตาตนเองที่เห็นลิ้นของลูกน้องหดเล็กเหลือเท่าเมล็ดถั่ว ท่านจึงได้ซักถามเขาถึงความเป็นมา แต่อนิจจา...พันกั่วพูดไม่ได้เสียแ

เบื้องบนให้อภัย

     ในสมัยราชวศ์ชิง ข้าราชการชื่อ ตู่ ฉิน อู้ มีตำแหน่งเป็นผู้ตรวจราชการ ตอนที่เขายังไม่เข้ารับราชการได้ล้มป่วย แม้หมอผู้เชี่ยวชาญมากมายมารักษา ก็ไม่ดีขึ้น จวบจนกระทั่งอาการเพียบหนักเขาจึงรวบรวมกำลังใจทั้งหมด ขอสำนึกผิดในความผิดต่อเบื้องบนที่เคยได้กระทำบปกรรมทั้งหลาย แล้วตั้งปณิธานอย่างมั่นคงว่า       "ข้าพเจ้าจะสร้างแต่ความดีทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรและไม่ว่าจะต่อผู้ใด" กลางดึกคืนนั้น ตู่ ฉิน อู้ ได้นิมิตเห็น พระโพธิสัตว์กวนอิม เสด็จมาปรากฎและตรัสกับเขาว่า       "เมื่ออดีตชาติในสมัยแผ่นดินของ ฉู่ หวง อ๋อง ผู้ชั่วร้าย เจ้าเป็นคนที่ซื่อสัตย์ แต่ก็มักจะก่อเหตุให้ผู้คนแตกความสามัคคีและฆ่าสัตว์เป็นอาจิณ วิบากกรรมจึงส่งผลให้ชาตินี้เจ้าต้องอายุสั้น ยังดีที่แม้แต่กำลังป่วยหนักเจ้ายังรู้สำนึกบาปและมีความตั้งใจแน่วแน่คิดจะสร้างความดี      "เมื่อเจ้าไม่อาจล่วงรู้ว่าความดีที่จะสามารถช่วยชีวิตเจ้าได้นั้นคืออะไร เราจึงมาเพื่อบอกแก่เจ้าว่า มีเพียงการช่วยปลดปล่อยชีวิตสรรพสัตว์ทั้งหลายให้รอดตายเท่านั้น ที่เป็นมหากุศลยิ่งใหญ่อันจะส่งผลให้เจ้าอายุยืนและมีชีวิตที่รุ่

สุนัขจิ้งจอกทดแทนบุญคุณ

     ในอดีตมีอาจารย์คนหนึ่ง หลงไหลในเวทมนต์คาถาจนเกิดมิจฉาทิฐิ เห็นผิดเป็นชอบไม่แบ่งแยกดีชั่ว ตลอดเวลาที่ผ่านไปไม่ใส่ใจกับการประพฤติปฏิบัติธรรม วันทั้งวันเอาแต่แสวงหาอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์อยากอยู่เหนือผู้อื่น      วันหนึ่งอาจารย์ผู้นี้ ได้ทดลองปรุงยาขนานหนึ่งซึ่งตนได้ยินมาว่า หากกินแล้วจะเป็นอมตะไม่มีวันตาย มีอิทธิฤทธิ์สามารถเหาะเหินเดินอากาศดำดินได้ เขาจึงอยากพิสูจน์ให้รู้สรรพคุณแต่ก็กลัวว่าตัวเองจะเป็นอันตราย จึงใช้วาจาร้อยเล่ห์เกลี้ยกล่อมให้ชายซื่อคนหนึ่งกินยานั้น และออกอุบายหลอกให้เขาลงไปอยู่ในบ่อที่แห้ง แล้วกลิ้งฝาหินมาปิดขังไว้      ชายซื่อผู้น่าสงสารนั่งตัวสั่นด้วยความตกใจกลัวเมื่อถูกขังอยู่ก้นบ่อลึก เขาใช้เวลาหลายวันเพื่อพยายามหาทางออกแต่ก็จนปัญญา ท่ามกลางความมืดความเหนื่อยอ่อนและหิวโหยขณะที่กำลังจะสิ้นหวัง ทันใดนั้นก็มีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งปรากฎกายขึ้นในบ่อ และพูดกับเขาว่า       "ไม่ต้องกลัว...ข้ามาที่นี่เพื่อแนะวิธีให้ท่านออกไปจากที่นี่      ท่านจงตัดความหวาดวิตกกังวลเสียให้หมด      แล้วสำรวมสมาธิประสานกายใจให้เป็นหนึ่ง      เพ่งกระแสจิตไปยังแสงสว่างตรงรูบน

ตะขาบฟังธรรม

     ในสมัยราชวงศหมิง ปีที่ ๔ มีพระเถระผู้อาวุโสรูปหนึ่งนามว่า "เหลียนฉือ ต้าซือ" ครั้งหนึ่งท่านเห็นชาวบ้านหิ้วตะขาบหลายสิบตัว ซึ่งถูกมัดทั้งหัวทั้งหางด้วยเชือกจนแน่นเพื่อนำไปขายที่ตลาด ท่านมีจิตเมตตาสงสารจึงขอซื้อมาปล่อย ตะขาบส่วนใหญ่ใกล้จะตายแต่มีอยู่ตัวหนึ่งได้แหงนหน้ามามองดูท่านแล้วคลานหนีไป      คืนหนึ่งขณะที่พระอาจารย์ เหลียนฉือ ต้าซือ กำลังสนทนาธรรมอยู่กับอุบาสกผู้ใกล้ชิดคนหนึ่งอยู่ ทั้งสองได้เห็นตะขาบไต่ขึ้นมาอยู่ข้างฝาผนัง อุบากสกผู้นั้นจึงลุกขึ้นไปหยิบไม้มาตีที่ข้างฝาเพื่อขู่ให้มันหนีไป แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรตะขาบตัวนั้นก็ไม่ยอมไป          พระเถระผู้มีใจโอบอ้อมอารีย์จึงได้พูดขึ้นว่า          "เจ้าตะขาบเอ๋ย...ใช่เจ้าหรือไม่ที่อาตมาปล่อยไป          หากเจ้ามาด้วยใจที่สำนึกในบุญคุณแล้วล่ะก็จะไม่มีใครขับไล่          ฉะนั้นจงตั้งใจฟังคำของอาตมาให้ดี          สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้          ของมีค่าที่สุดคือ "ชีวิต"          ไม่ว่าใครต่างก็รักและหวงแหนชีวิตตน          หากผู้ใดปราศจากจิตเมตตาเสียแล้ว          ชาติหน้าก็ต้องเกิดเป็นเสื

ตะพาบน้ำพยาบาล

     สองสามีภรรยา แซ่เฉิง ทั้งคู่โปรดปรานเนื้อตะพาบน้ำเป็นพิเศษ ครั้งหนึ่งนายเฉิงซื้อตะพาบน้ำตัวใหญ่กลับมาบ้านพร้อมกับสั่งให้คนรับใช้นำไปฆ่าทำเป็นอาหารเย็น เมื่อสั่งเสร็จเขาก็ออกไปทำธุระนอกบ้าน      เด็กสาวคนรับใช้หิ้วตะพาบน้ำไปวางบนเขียงเตรียมลงมือสังหาร แต่แล้วก็กลับคิดว่า       "ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราถูกนายจ้างสั่งให้ฆ่าสัตว์มากมายเหลือเกินแต่ตะพาบน้ำตัวนี้เห็นแล้วช่างน่าสงสารเหลือเกิน นับตั้งแต่บัดนี้ต่อไปเราจะไม่ฆ่าสัตว์ใดๆอีก แม้ว่าจะถูกลงโทษอย่างไรก้อตาม" คิดได้เช่นนี้แล้วเธอก็แอบเอาตะพาบไปปล่อยลงในบึงน้ำใกล้ๆบ้าน      เมื่อนายเฉิงและภรรยากลับมา ได้เรียกให้ยกตะพาบน้ำออกมากิน เด็กสาวคนรับใช้จึงพูดกับนายจ้างว่า       "นายท่าน....ตอนทำครัวข้าพเจ้าไม่ทันระวัง ตะพาบน้ำตัวนั้นหนีไปเสียแล้วเจ้าค่ะ" สองสามีภรรยาได้ยินเช่นนั้นก็เกิดโทสะอย่างแรง นางเฉิงผู้เป็นภรรยาจึงคว้าไม้เฆี่ยนตีคนรับใช้โดยไม่ยั้งมือ เฆี่ยนไปด่าไปจนกระทั่งเหนื่อยจึงเลิกรา      อนิจจา....เด็กหญิงคนรับใช้ ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยรอยถูกเฆี่ยนตี เธออดทนไม่ยอมปริปากพูดอะไร      หลังจากวั

สัตว์น้ำรักษาโรค

     คนแซ่ หลี่ เป็นคนใจบุญสุนทานมีจิตเมตตา ทุกๆครั้งที่ออกไปเที่ยวชมธรรมชาติริมน้ำ หากพบเห็นชาวบ้านจับสัตว์น้ำขึ้นมาขาย เขาก็จะขอซื้อไม่ว่ากี่รายเขาก็จะขอซื้อทั้งหมด แล้วนำไปปล่อยลงยังปากแม่น้ำเพื่อให้สัตว์เหล่านั้นว่ายออกไปสู่อ่าวใหญ่ที่ห่างไกลจากผู้คนเบียดเบียน      คราวหนึ่งเขาได้รับประทานยาสมุนไพรบำรุงร่างกายมากเกินขนาด เป็นเหตุให้เกิดอาการร้อนในฝีเม็ดใหญ่ขึ้นเต็มแผ่นหลังทั้งตัวรุ่มร้อนกระสับกระส่ายเป็นไข้อาการทรุดหนักมาก!      จนกระทั่งหลายคืนต่อมาขณะกำลังนอนพักอยู่บนศาลาริมน้ำคนแซ่ หลี่ กำลังเคลิ้มๆ ก็รู้สึกคล้ายกับมีสัตว์น้ำฝูงใหญ่ พากันแหวกว่ายเข้ามาใกล้ๆ และแล้วทั้งปู ปลา ต่างก็พ่นน้ำลายลงบนหลังของเขา นายหลี่รู้สึกเย็นและสบายตัวอย่างบอกไม่ถูก เขาหลับสนิทไปจนกระทั่งรุ่งเช้า พอตื่นขึ้นก็ปรากฎว่าฝีบนหลังเขาได้ยุบตัวลง       จากนั้นเป็นต้นมา คนทั้งหลายมักจะพบเห็นคนแซ่ หลี่ ถือถุงเงินเดินเล่นอยู่ริมแม่น้ำ พร้อมกับแวะพูดคุยขอซื้อสัตว์น้ำจากชาวประมงด้วยความอ่อนน้อมเสมอๆ เป็นเช่นนี้ตราบจนชั่วชีวิตของเขา

กุศลของบรรพบุรุษ

     หัน ซือ เนิ่น เป็นข้าราชการอยู่ในมณฑล เจียงซู นับย้อนขึ้นไปตั้งแต่บรรพบุรุษแต่ละรุ่นลงมาล้วนลำบากยากจนมาก บรรพชนหลายชั่วคนของเขาสร้างบ้านเรือนอยู่ใกล้ๆกับป่าช้านอกเมือง      ครั้นสืบต่อมาถึงรุ่นคุณปู่ของ หั่น ซือ เนิ่น ท่านเป็นคนมีนิสัยชอบปล่อยสัตว์แม้ว่าจะฐานะยากจน แต่ทุกๆวันเวลาเช้าตรู่ ท่านจะถือไม้กวาดออกไปกวาดหอยโข่งที่คลานอยู่บนทางเดินใกล้ลำธารให้มันลงไปอยู่ในน้ำ เพื่อจะได้รอดพ้นจากการถูกชาวบ้านเก็บไปกิน บางครั้งคุณปู่ต้องเดินกวาดไปเป็นระยะทางไกลเป็นสิบๆลี้ แม้กระนั้นท่านก็ยังคงอดทนต่อความหิวและความเหน็ดเหนื่อย ท่านผู้เฒ่าพากเพียรปฏิบัติเช่นนี้อยู่ทุกวันไม่เคยขาดเป็นเวลาถึง ๔๐ ปี จนกระทั่งล่วงลับจากโลกนี้ไป      กาลเวลาผ่านมาจนถึงรุ่นของ หั่นซือเนิ่น ผู้เป็นหลาน ก่อนที่เขาจะได้รับราชการปีนั้นเขาได้ฝันเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์หนึ่งกล่าวกับเขาว่า       "ปู่ของเจ้าช่วยเหลือสัตว์เป็นเวลาถึง ๔๐ ปี มีกุศลมากมายมหาศาล ต่อไปในภายหน้าลูกหลานจะได้เป็นข้าราชการมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง โดยเฉพาะตัวเจ้าจะได้เป็นถึงผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน"      ต่อมาความฝันนั้นก็ปรากฏเป็

คนใจแคบ

      มีเรื่องราวบันทึกไว้ว่าในรัชสมัยของสมัยพระเจ้าถังไท่จง แห่งราชวงศ์ถัง ข้าราชการผู้หนึ่งชื่อหลูเสี้ยวเจิน รับราชการอยู่ที่ตำบล หย่ง โจ้ว เขาเป็นคนเจ้าอารมณ์เลือดร้อน ทุกครั้งที่เกิดโมโหข้าราชการผู้นี้ก็จะทั้งด่า ทั้งทุบตี ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงหรือคนงานในบ้านเพื่อระบายความโกรธ นิสัยไม่ดีเช่นนี้เขาไม่เคยคิดจะแก้ไขเลย      ในสวนหลังบ้านของ หลูเสี้ยวเจิน มีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ซึ่งฝูงผึ้งมักจะมาสร้างรังอยู่อาศัย เมื่อข้าราชการเจ้าโทสะมาพบเข้าก็สั่งให้คนงานทำลายรัง เพื่อขับไล่มันไปเสีย แต่ไม่กี่วันผึ้งเหล่านั้นก็กลับมาทำรังขึ้นใหม่อีก สร้างความโมโหเดือดดาลโกรธแค้นขึ้นในใจของเขาเป็นอย่างมาก       หลูเสี้ยวเจิน คนใจแคบจึงสั่งให้คนงานสุมไฟต้มน้ำหม้อใหญ่ให้ไอเดือดที่ร้อนจัดลอยขึ้นไปลนรังของมัน ผึ้งหลายพันตัวต้องหล่นลงมาตายในหม้อน้ำเดือดจนหมด! เขาคิดแต่ว่าทำเช่นนี้จึงจะสมแค้น!       ปีหนึ่งผ่านไป ตอนบ่ายๆในราวกลางเดือนห้า ขณะที่หลูเสี้ยวเจิน กำลังนอนหลับอ้าปากอย่างมีความสุขในสวนหลังบ้าน อยู่ๆก็มีผึ้งใหญ่ตัวหนึ่งบินตรงเข้ามาใช้เหล็กไนอันแหลมคมแทงที่ลิ้นของเขา หลูเสี้ยวเจินสะดุ้งสุ

ทำดีได้ดี

     ที่มณฑลจื่อเจียง เถาซื่อเหลียง และ จังจือถิง  ทั้งสองเป็นนักศึกษาที่รักใคร่ปรองดองกันมาก วันหนึ่งทั้งคู่ออกไปเที่ยวชมพระอารามใหญ่ไม่ไกลจากกันนัก เถาซื่อเหลียงได้เห็นชาวนากำลังจะนำปลาไหลหลายพันตัวที่จับได้ไปขาย เขาบังเกิดเมตตาจิตจึงพูดกับ จังจือถิงว่า       "ปลาไหลมากมายเหล่านี้จะต้องถูกนำไปฆ่ากิน ข้าพเจ้าเห็นแล้วไม่อาจทนนิ่งเฉยอยู่ได้คิดอยากจะซื้อมาปล่อยทั้งหมดแต่ก็ขาดกำลังทรัพย์จึงหวังไว้ว่าสหายคงพอจะช่วยเหลือได้ หากเราทั้งสองออกไปชักชวนให้คนอื่นๆมาร่วมสรา้งบุญใหญ่ครั้งนี้ด้วยคงจะดีไม่น้อย ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าสหายท่านจะคิดอย่างไร! "      จังจือถิง เมื่อได้ยินเพื่อนเสนอแนะเช่นนี้แล้วก็ตอบตกลงเห็นด้วยทันที เขาทั้งสองจึงรวบรวมเงินที่มีอยู่ได้ ๑ ตำลึงพร้อมกับออกไปขอเรี่ยไรบริจาคจากคนใจบุญทั้งหลาย จนสามารถรวบรวมเงินมาได้ถึง ๘ ตำลึง ทั้งคู่เอาเงินบริจาคทั้งหมดไปซื้อปลาไหลหลายพันตัวแล้วนำไปปล่อยลงในสระใหญ่ของวัด      ครั้นย่างเข้าฤดูใบไม้ร่วงกลางเดือน ๗ ในปีเดียวกันนั้นมีอยู่คืนหนึ่ง เถาซื่อเหลียงและจังจือถิง ก็ได้ฝันพร้อมกันว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์พระองค์หนึ่งทรงสวมใส่

สะสางบัญชีกรรม

     มณฑลเจียงซู มีทำเลภูมิประเทศส่วนใหญ่ติดริมน้ำผู้คนที่มาตั้งบ้านเรือนอยู่โดยรอบทำมาหากินโดยอาศัยจับสัตว์น้ำจำพวก กุ้ง หอย ปู ปลา กบ เขียด เป็นเช่นนี้มานานหลายชั่วคน พูดได้ว่านิสัยชอบฆ่าได้ฝันงแน่นอยู่ในจิตใจของชาวบ้านๆไปเสียแล้ว      เด็กเล็กๆ เมื่อโตพอรู้ความก็จะถูกผู้ใหญ่พ่อแม่พี่น้องสอนให้ฆ่าสัตว์ ใครฆ่าได้มากก็ได้รับคำยกย่อมชมเชย ทุกวันๆจิตใจจึงสะสมไว้แต่ความเหี้ยมโหด นับวันจิตใจของคนในหมู่บ้านก็ยิ่งทวีความทารุณโหดร้ายขึ้นเรื่อยๆ จนถึงกับว่าครอบครัวใดให้กำเนิดลูกเป็นผู้หญิงทารกตัวน้อยๆ ก็จะถูกนำไปโยนทิ้งแม่น้ำให้ตาย ด้วยความเกลียดชังไม่อยากได้ลูกเป็นผู้หญิง ถึงขั้นนี้แล้วเรียกได้ว่าจิตใจของผู้คนในเวลานั้นตกต่ำลงจนถึงขีดสุด ไม่มีความดีหลงเหลืออยู่อีกเลย!      แต่ภายใต้ท้องทะเลอันขุ่นข้นยังสามารถเกิดเป็นที่เกิดของไข่มุกอันขาวบริสุทธิ์สุกสกาวได้ฉันใด ท่ามกลางผู้คนที่โหดเหี้ยมใจบาปหยาบช้า ก็ยังมีคนดีๆปะปนอยู่ด้วยฉันนั้น ในหมู่บ้านเดียวกันนี้มีหญิงชราผู้หนึ่งอายุ ๗๐ กว่าปีแล้ว ชื่อ ขุ่ง ผ่อ กับหลานสาวตัวเล็กๆ ทั้งสองอาศัยอยู่ในกระท่อมท้ายหมู่บ้าน      คุณยายขุ่งผ่อและหลาน

ผลกรรมตอบสนอง

     ที่มณฑล เจียงซู มีบึงน้ำกว้างใหญ่ นานมาแล้วผู้คนพากันมาตั้งบ้านเรือนจนกลายเป็นหมู่บ้านอยู่โดยรอบชาวบ้านส่วนใหญ่ในละแวกนั้น ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ยิงนกตกปลาจนเป็นนิสัยและเห็น "การฆ่า" เป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว      แต่ครอบครัวของเฉินเป่าเหวินไม่เป็นเช่นนั้น เพราะทุกคนในบ้านชอบทำบุญสร้างกุศลหากสมาชิกคนใดไปพบเห็นชาวบ้านจับนกปลามาได้ก็จะขอซื้อเพื่อนำไปปล่อย พร้อมกับพยายามอธิบายให้คนเหล่านั้นรู้ถึงกฎ "แห่งกรรม" ว่า      " คนที่เข่นฆ่าผู้อื่นนั้นได้ชื่อว่าจิตไม่มีความเมตตาอยู่เลย       ย่อมทำให้ชีวิตของบุคคลนั้นไร้สุขและอายุสั้น      ในเวลาอันใกล้ผลกรรมก็จะเกิดขึ้นกับตัวเอง      ในเวลาที่ไกลออกไปผลกรรมก็จะตกแก่ลูกหลานของตน"       มีชาวบ้านน้อยคนนักที่เห็นด้วยและปฏิบัติตาม ส่วนใหญ่กลับหัวเราะเยาะเห็นเป็นเรื่องงมงายไร้สาระไปเสีย      เวลาผ่านไปไม่นาน กลางดึกคืนหนึ่งมีชาวบ้านเห็นภูตผี ๒ ตัว ในมือทั้ง ๒ ข้างถือธงไว้จนเต็ม ภูตผีตัวหนึ่งได้พูดขึ้นว่า       "เฉพาะครอบครัวของ เฉินเป่าเหวิน ไม่ต้องปักธง นอกนั้นเอาธงไปปักหน้าบ้านให้หมดทุกหล

กรรมของคนจับเขียด

     ที่อำเภอเจียงซูในปีที่ ๑๖ แห่งราชวงศ์ชิง นายอำเภอได้ติดประกาศห้ามไม่ให้ราษฎรจับสัตว์น้ำ แต่ก็ยังมิวายมีคนฝ่าฝืนอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวนาคนหนึ่งแซ่ จัง ใครๆเรียกเขาว่า อาลี่      อาลี่ผู้นี้มักจะลักลอบจับเขียดในบึงไปขาย พร้อมกับแนะนำกรรมวิธีการปรุงให้ลูกค้าว่านำไปผัด ทอด หรือตุ๋นก็ได้ เขาเป็นคนไม่รู้หนังสืออ่านไม่ออกแต่เมื่อมีคนมาเตือนสติเขาว่า       "กบเขียดช่วยกำจัดแมลงศัตรูพืชที่มาทำลายพืชผลของชาวไร่ชาวนา เราไม่ควรฝ่าฝืนคำสั่งของทางราชการ อาลี่น่าจะทำมาหากินอย่างอื่นที่ไม่ต้องทำผิดกฎหมาย"      คนที่มีนิสัยดื้อรั้นยึดถือทิฐิอย่างอาลี่ไม่ยอมฟังใคร เขายังคงแอบออกไปจับเขียดในบึงทุกวัน      วันหนึ่ง ฝนตกหนักน้ำในบึงท่วมสูงขึ้น เขาเห็นเป็นโอกาสดีที่จะออกไปจับเขียดในตอนกลางคืน ถึงคราวเคราะห์กรรมมาถึงอาลี่ไม่ระวังตัว จึงลื่นไถลจมน้ำตายโดยไม่มีใครรู้ อีก ๒ วันต่อมาศพของเขาก็ขึ้นอืดลอยอยู่ข้างริมบึง มีเขียดมากมายมารุมกัดกินร่างของเขา      ชาวบ้านที่รู้ข่าวต่างพากันมาดู ไม่มีใครตกใจเลย ทุกคนพูดว่า       "นี่เป็นกฎแห่งกรรม ทำอย่างไรก็ต้องได้อย่างนั้น!&

ตะพาบน้ำทวงชีวิต

     เศรษฐีใหญ่แห่งมณฑลเจียงซูคนหนึ่ง มีเงินทองทรัพย์สมบัติมากมาย ดังนั้นเขาจึงทำตัวสุรุ่ยสุร่าย ใช้จ่ายเงินทองอย่างฟุ่มเฟือย โดยเฉพาะสิ่งที่เขาชอบมากที่สุดก็คือเรื่องสรรหาของแปลกๆมากิน      วันหนึ่งเศรษฐีคนนี้จัดงานเลี้ยงขึ้นที่บ้านเขาสั่งให้พ่อครัวใช้เนื้อตะพาบน้ำมาทำอาหารแต่ขณะที่คนครัวกำลังจะฆ่าตะพาบก็สังเกตว่า มันมีน้ำตาไหลออกมาไม่ยอมหยุดทำให้เขาใจอ่อนไม่อยากฆ่าจึงไปรายงานต่อเศรษฐีเจ้าของบ้านและชักชวนให้มาดูพร้อมกับพูดอ้อนวอนต่อนายจ้างของตน ให้ปล่อยตะพาบน้ำไปเสียเถิด      แต่เศรษฐีคนนี้ไม่ใช่คนมีเมตตา แทนที่จะรู้สึกเวทนาสงสารเขากลับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ คว้ามีดได้ก็ฟันคอตะพาบน้ำตัวนั้นทันที! หัวของมันขาดกระเด็นไปบนอากาศเลือดกระจายเต็มพื้น! ทุกคนต่างก็ตกใจในการกระทำอันโหดเหี้ยมของนายจ้าง ตะพาบน้ำที่ตายถูกนำไปปรุงเป็นอาหารพิเศษ ส่วนหนึ่งนำไปเลี้ยงแขกในงาน อีกส่วนหนึ่งใช้เลี้ยงญาติพี่น้อง      เศรษฐีเจ้าภาพลิ้มรสเนื้อตะพาบที่ฆ่าด้วยน้ำมือตนเองไปได้ไม่กี่ชิ้น เขาก็เกิดอาการปวดหัว ตัวร้อน ตาพร่ามัวมองไม่เห็น แล้วหน้ามืดเป็นลมหมดสติไปต่อหน้าแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน      ญาติพี่น้อ

เงินไม่บริสุทธิ์

     ณ หมู่บ้านริมบึงน้ำ มีชายคนหนึ่งหาเลี้ยงครอบครัวด้วยการจับสัตว์น้ำจำพวก ปู หอย ไปขาย ทุกๆวันเขาจะเอาตะปูและหอยที่จับได้เป็นๆมาร้อยใส่เชือกไว้เป็นพวง แล้วหิ้วไปขายที่ตลาด สัตว์เหล่านั้นเมื่อถูกเชือกร้อยทะลุกลางลำตัวต่างก็ดิ้นไปมาอย่างเจ็บปวดทุรนทุรายจนกระทั่งตายไป      เมื่อได้เงินมาชายผู้นี้ก็จะนำไปให้มารดาของเขา เพื่อซื้อข้าว ฟืน และของใช้ต่างๆเป็นเช่นนี้เรื่อยมาโดยที่เขาไม่เคยคิดสงสารสัตว์เหล่านั้นเลย ส่วนหญิงชราผู้เป็นมารดาเองตั้งแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยอบรมสั่งสอนให้ลูกทำความดี ไม่เคยชี้แนะว่าสิ่งใดควรทำ หรือไม่ควรทำ      จนกระทั่งวันหนึ่ง มารดาของเขาก็ป่วยเป็นไข้หนักมีอาการเหมือนคนบ้าเสียสติ เรียกหาแต่เชือกที่ใช้ร้อยปูและหอย เมื่อลูกสะใภ้หยิบมาให้ นางก็นำมาเคี้ยวแล้วกลืนลงไปจนท้องป่องแต่พอใกล้จะหมด นางก็ใช้มือดึงเอาเชือกที่กลืนไปในท้องออกมาใหม่ แล้วก็กลืนลงไปอีก ปากพร่ำบอกลูกๆว่า       "ข้านี่เอง ! เอาเงินที่ไม่บริสุทธิ์มากินมาใช้.....ต้องชดใช้หนี้กรรม!"       นางจะรู้สึกอึดอัดกระสับกระส่ายมากถ้าไม่ได้ทำเช่นนี้ หญิงชราผู้นี้กินเชือกลงไปแล้วดึงออกมา กินเข้า

ฟ้าลงโทษ

     ที่ ซื่อ เซียง หมู่บ้านในชนบทแห่งหนึ่งมีเรื่องเล่าว่า      ในสมัยราชวงศ์ชิง ช่วงปีใหม่เดือนสี่วันที่สิบตอนเที่ยงวัน ขณะที่ท้องฟ้ากำลังปลอดโปร่ง แต่เพียงชั่วครู่เดียวอากาศก็กลับมืดครึ้ม มีฝนตกกระหน่ำอย่างน่ากลัว ฟ้าแลบฟ้าร้องเสียงสนั่นหวั่นไหว เวลานั้นมีคนฆ่าวัวในตลาดเดินออกมาดูทันใดนั้นเขาก้ถูกฟ้าผ่า! ร่างกายเนื้อหนังไหม้เกรียมหน้าดำเป็นตอตะโก เขาร้องจนสุดเสียงและแน่นิ่งไป!      เมื่อพายุสงบลง ชาวบ้านที่ออกมาดูพบว่าเขายังมีลมหายใจอยู่ จึงช่วยกันหามเข้าไปในร้าน ชายผู้มีอาชีพฆ่าวัวขายเนื้อนอนสลบไม่ได้สติอยู่หลายวัน พอฟื้นขึ้นก็พบว่าเนื้อตัวของเขาเละมีหนอนไชออกมา มันทั้งเจ็บทั้งคน เมื่ออาการหนักเขาก็คุ้มคลั่งควักเอาเนื้อที่เน่าเละยัดใส่ปากของตนกินเอาๆแล้วตะโกนว่า       " เนื้อวัวนี่มันอร่อยดีไหม!"       คนฆ่าวัวกระชากเนื้อตัวเองออกมากินจนโหว่เห็นกระดูกและส่งเสียงร้องโหยหวนทั้งวันทั้งคืน เป็นเช่นนี้อยู่หลายเดือนจึงตายลง!      คนบ้านใกล้เรือนเคียงต่างกลัวจนขนลุกขนพอง ต่อความตายอันน่าสยดสยองที่เกิดขึ้นกับพ่อค้าเนื้อวัว

เป็นวัว ๑๑ ชาติ

     หนังสือกฎแห่งกรรมมีเรื่องราวบันทึกไว้ว่าที่มณฑลเห่อหนัน มีนายแพทย์คนหนึ่งชอบกินเนื้อวัวเป็นชีวิตจิตใจ ทุกครั้งที่เขาถูกเชิญให้ไปรักษาคนไข้ตามบ้าน หากเจ้าของบ้านเชิญให้รับประทานอาหารโดยบนโต๊ะไม่มีเนื้อวัว เขาก็จะแสดงความไม่พอใจอย่างออกหน้าออกตาแถมพูดจาติเตียนเหน็บแนมว่า      " บ้านหลังนี้จะเลี้ยงอาหารทั้งทีไม่มีความจริงใจ!" เสร็จแล้วก็จะจากไปโดยไม่ยอมรับประทาน      ต่อมาเมื่อนายแพทย์คนนี้ตายไป วิญญาญได้ตกลงสู่นรกขณะที่คุกเข่าอยู่ต่อหน้าพญายมเพื่อพิจารณาผลกรรมที่ทำไว้ ข้างๆเขาก็มีวิญญาณของคนในตำบลเดียวกัน ซึ่งมีอาชีพฆ่าวัวคุกเข่าอยู่ด้วย ทันทีที่คนฆ่าวัวเห็นเขามาถึงก็ชี้หน้าด่าว่า       "ถ้าพวกแกไม่กิน ฉันก็ไม่ต้องฆ่า!"       นายแพทย์ผู้ชอบกินเนื้อวัวมาตลอดชีวิต ก็สวนไปทันควันว่า       "ถ้าแกไม่ฆ่า...ฉันก็ไม่ซื้อกินหรอก!"       วิญญาณทั้งสองโต้เถียงกันอย่างไม่ลดราวาศอก ต่างโยนความผิดให้แก่กันและกัน      พญายมผู้เป็นใหญ่ในนรก จึงตวาดเสียงดังด้วยความโกรธว่า       "วัวควายเป็นสัตว์ประเสริฐ ใช้หยาดเหงื่อแรงกายไถนา       จนได้ข้าว

คนหัวเป็นวัว

    ในรัชสมัยราชวงศ์ชิงตอนต้น ที่มณฑล อู่ ตู คนแซ่ เยี่ย มีอาชีพเป็นคนฆ่าวัวตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาฆ่าวัวไปมากมายจนนับไม่ถ้วน      อยู่มาวันหนึ่ง นาย เยี่ย ได้ล้มป่วยอาการหนักจนหมดสติไป เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกครั้งมือและแขนทั้งสองบวมช้ำเป็นสีเขียว เขาร้องเสียงดังลั่นว่า "เจ็บ!...เจ็บเหลือเกิน!..." คนแซ่เยี่ยพยายามยันตัวลุกจากเตียง เดินโซซัดโซเซไปตามถนนถนนจนถึงตลาด แล้วตะโกนบอกชาวบ้านที่ผ่านไปผ่านมาว่า       "ยมบาลให้ข้ามาเตือนทุกคนพันครั้งหมื่นครั้งว่า        อย่าเอาเยี่ยงอย่างข้าที่ทำแต่สิ่งเลวร้ายมากมาย        อยู่ในนรกมันน่ากลัวเหลือเกิน!...ไม่ใช่จะเหมือนโลกมนุษย์นี้!"       พูดเสร็จเขาก็วิ่งไปบอกบ้านโน้นบ้านนี้จนทั่วหมู่บ้านกว่าจะกลับมาได้ก็ล้มลุกคลุกคลานตลอดทาง      ลูกของนายเยี่ยออกมายืนคอยอย่างร้อนใจ พอเห็นพ่อเดินมาแต่ไกลก็ตกใจร้องบอกผู้เป็นแม่ว่า       "แม่! แม่! พ่อกลับมาแล้ว แต่ทำไมหัวของพ่อเป็นวัว! " แม่ของเธอวิ่งออกมาดูก็พอดีนายเยี่ยเดินเข้าประตูบ้านมาแล้ว นางตำหนิบุตรสาวว่าพูดจาเหลวไหลและตาฝาดไปเอง คนแซ่เยี่ยไม่พูดอะไรเลย เขาเดินไปถึงเต

เกิดเป็นควายทุกข์แค่ไหน

     ในปีที่ ๒๐ แห่งรัชสมัยราชวงศ์ ชิง คราวนั้นผู้คนจำนวนมากได้พากันไปไหว้พระที่วัดบนเขา จิ่ว หัว มีนักศึกษากลุ่มหนึ่งว่างจากการเรียน จึงถือโอกาสชักชวนกันไปเที่ยวด้วยเมื่อพวกเขาเดินไปเห็นรูปควายที่กำแพงวัดรูปหนึ่ง มีอักษรเขียนไว้ว่า ให้คนเราเลิกฆ่าวัวควายและหยุดกินเนื้อ นักศึกษาคนหนึ่งได้หัวเราะเยาะอย่างตลกขบขัน พร้อมกับพูดขึ้นว่า      " ข้าคนหนึ่งล่ะ! ที่ต้องกินมันแน่ไม่มีเว้น....."       ยังพูดไม่ทันขาดคำ เขาก็ชักดิ้นเป็นลมสิ้นสติ! เพื่อนๆ ที่มาด้วยกันต่างตกตะลึงท่ามกลางสายตาของสาธุชนที่มาไหว้พระต่างเชื่อว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทรงพิโรธที่มีผู้ลบหลู่หลักธรรมคำสอน ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงขาดความเคารพยำเกรงฟ้าดิน ท่านจึงลงโทษ     เพื่อนๆนักศึกษาหลายคนซึ่งเชื่อถือในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต่างพากันคุกเข่าต่อหน้าพระรูปของพระกษิติครรภโพธิสัตว์ ผู้ควบคุมยมโลก พร้อมกับกล่าวคำขอขมา      น่าแปลก.....สักครู่นักศึกษาคนนั้นก็ฟื้นขึ้นมา แต่มีอาการเหมือนคนสลึมสลือ หันรีหันขวางไปทั้ง ๔ ด้าน ส่ายหัวไปมาแล้ววิ่งไล่ขวิดไปเรื่อยเหมือนควาย เพื่อนๆจึงช่วยกันจับตัวมัดใส่คานหามกลับที่พัก นักศึกษาท

ความตายปริศนา

     ชายคนหนึ่งอาศัยอยู่ในมณฑลเจียงซู ชอบกินเนื้อตะพาบน้ำ เขาอวดอ้างสรรพคุณว่ารสชาดอร่อยที่สุดไม่ว่าจะกินดิบๆหรือสุก เป็นอาหารบำรุงชั้นยอดไม่มีอะไรเทียบได้ ทุกครั้งที่มีเงิน เขาจะต้องซื้อตะพาบน้ำมาตุ๋นกินเสมอ      คืนหนึ่งเขาฝันว่า มีคนสวมชุดสีดำข้างหลังมีกระดองตะพาบน้ำหุ้มอยู่ เข้ามาคุกเข่าวิงวอนให้เขาปล่อยชีวิตไป น่าแปลกที่ในคืนเดียวกันนั้นภรรยาของเขาก็ฝันเหมือนกัน      เช้าวันรุ่งขึ้นมีชาวประมงหิ้วตะพาบน้ำตัวอ้วนใหญ่มาขายที่หน้าบ้าน เขารีบเอาเงินซื้อไว้ด้วยความดีใจว่าจะได้กินของที่ชอบ แต่ภรรยาของเขาได้ทักท้วงว่า       "เมื่อคืนที่เราเห็นอาจเป็นตะพาบตัวนี้ก็ได้ เราควรปล่อยเขาไปเพื่อเป็นกุศล"       แต่ความติดในรสชาดอยากอร่อยลิ้น มันช่างเอาชนะได้ยากเหลือเกิน ชายผู้เป็นสามีก็เช่นเดียวกัน เมื่อเห็นตะพาบน้ำนั้นอ้วนพีก็เกิดกิเลสอยากกิน จึงไม่ยินยอมตามคำของภรรยา เขานำตะพาบไปฆ่าและตุ๋นกินอย่างเอร็ดอร่อยด้วยตัวเอง เมื่อกินอิ่มแล้วก็ลุกไปอาบน้ำ ภรรยาของเขาคอยอยู่นานหลายชั่วยาม เรียกอย่างไรก็ไม่มีเสียงตอบ นางจึงตัดสินใจพังประตูห้องน้ำเข้าไป แต่สามีของนางไม่ทราบว่าหายไปไหน

กินอย่างไรตายอย่างนั้น

     เศรษฐีคนหนึ่งมีกิจการค้าไม้ที่ใหญ่โตสามารถสร้างความมั่งคั่งรำ่รวยให้อย่างมหาศาล แต่เขาเป็นคนจุกจิกจู้จี้ในเรื่องอาหารการกิน ทุกๆมื้อไม่ว่าที่บ้านหรือในงานเลี้ยงเขาต้องเลือกสรรของกินดีๆและปรุงอย่างพิถีพิถัน      อาหารสุดยอดอย่างหนึ่งซึ่งเศรษฐีผู้นี้คิดวิธีทำขึ้นเป็นพิเศษก็คือ ต้องใช้นกกระจอกตัวเล็กๆ จำนวนมากมาคลุกเคล้ากับเครื่องปรุงให้ดีแล้วนำไปยัดใส่ในท้องเป็ดตัวใหญ่หลังจากนั้นจึงเอาไปอบจนสุก เวลาจะกินก็แหวะท้องเป็ดแล้วใช้ตะเกียบคีบนกกระจอกข้างในออกมากิน เขาตั้งชื่ออาหารพิเศษนี้ว่า "ร้อยวิหคในท้องราชา!"       อยู่มาวันหนึ่ง เศรษฐีพ่อค้าไม้ก็ป่วยเกิดฝีเม็ดใหญ่ผุดขึ้นกลางหลัง และมีฝีเม็ดเล็กๆมากมายขึ้นอยู่โดยรอบฝีเม็ดใหญ่นั้น เขาพยายามหาหมอดีๆ มารักษาแต่ก็ไม่หาย จนกระทั่งทราบว่ามีหมอซึ่งเก่งที่สุดอยู่ไม่ไกล เศรษฐีจึงเดินทางไปพบ เมื่อหมอตรวจฝีที่ขึ้นอยู่บนหลังนั้นแล้วก็ได้แต่ส่ายศีรษะพร้อมกับกล่าวว่า "นี่มันเป็นโรคที่ประหลาดเหลือเกิน แม้แต่หมอเทวดาก็รักษายาก ไม่รู้ว่าจะเรียกโรคอะไร คงต้องตั้งชื่อให้ว่า ฝีร้อยวิหคในท้องราชา"      เมื่อหมดทางเยียวยา เศรษฐ

กบทวงชีวิต

     ในช่วงเริ่มต้นปีหมินกั๋ว ที่มณฑล อันวุ่ยเซิน อำเภอ อู้วุ่ย มีชายช่างตัดผมคนหนึ่ง ชอบกินเนื้อ กบ เขียดเป็นที่สุด ตลอดเวลาที่ผ่านมา กบ เขียด ถูกเขาฆ่าเพื่อนำมาทำกบตุ๋นซึ่งเป็นอาหารจานโปรดนับไม่ถ้วน     มีอยู่คืนหนึ่ง ขณะที่นายช่างตัดผมผู้นี้กำลังจะนอนหลับพริบตาเดียวก็เห็น กบ เขียด มากมายกระโดดขึ้นมาเกาะอยู่บนผ้าห่ม หมอน และแขนเสื้อของเขาเต็มไปหมด เขาจึงรีบถลันลุกขึ้นตรงเข้าไปในครัว ก่อไฟต้มน้ำด้วยอาการร้อนรน พอน้ำเดือดเขาก็จัดแจงถอดเสื้อผ้าลงไปต้มในกะทะเพื่อฆ่ากบที่มารบกวนให้ตายเสร็จแล้วจึงกลับเข้าไปนอนใหม่ แต่พอหลับตาลงก็เห็นกบเข้ามาในห้องอีกไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่กบเขียดมากมาย จนเขาไม่สามารถนอนต่อไปได้!      ครั้นถึงรุ่งเช้า ชายช่างตัดผมก็เล่าให้คนในบ้านฟัง แต่ขณะที่ยังเล่าไม่ทันจบ เขามีท่าทางตื่นตกใจพร้อมกับพูดขึ้นว่า "ทำไมกบมันขึ้นมาเกาะตัวข้าเต็มไปหมด!" แต่น่าแปลก ที่คนในบ้านไม่มีใครมองเห็นกบเขียดเลยสักตัว สักครู่เดียวเขาก็ร้องโวยวายขึ้นอีกว่า "บนผมก็มี....ทั้งตัวมีแต่กบ...โอ๊ย! ช่วยด้วย ช่วยข้าไล่มันไปที!"       ช่างตัดผมมีอาการคลุ้มคลั่งคล้าย

กรรมตามทัน

     ในวัดเก่าแก่แห่งหนึ่ง มีสมุดบันทึกเขียนเล่าว่า      ที่มณฑล ซูโจว มีร้านขายบะหมี่ใส่ปลาไหลย่างอยู่ร้านหนึ่ง ฝีมือที่ปรุงรสได้เป็นเลิศของเจ้าของร้านทำให้ขายดีเป็นที่หนึ่ง สาเหตุก็เพราะวิธีย่างปลาไหลที่ไม่เหมือนใคร เขาใช้ปลาไหลเป็นๆปล่อยลงไปบนแผ่นเหล็กที่มีขอบโดยรอบ ปลาไหลที่ถูกเผาจะดิ้นไปมาอยู่บนกระทะเหล็ก ซึ่งตั้งอยู่บนเตาร้อนๆ จนกระทั่งหนังของมันไหม้สุกและหลุดออกไป ปลาไหลต้องทรมานอยู่อย่างนี้จนตาย! เสร็จแล้วจึงถูกนำขึ้นมาสับวางบนบะหมี่ ลูกค้าทั้งหลายที่ติดอกติดใจในรสชาด ต่างพากันมาอุดหนุนจนแน่นร้านทุกวัน      อยู่มาคืนหนึ่งเจ้าของร้านบะหมี่อันลือชื่อได้ออกไปเที่ยวกลางดึกแล้วหายไปไม่กลับมา เช้าวันรุ่งขึ้นลูกๆจึงออกตามหาก็พบว่า เจ้าของร้านบะหมี่ผู้เป็นพ่อกลายเป็นศพลอยมาติดอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเสียแล้ว      ขณะที่ชาวบ้านช่วยกันเอาศพขึ้นจากน้ำ ทุกคนก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นปลาไหลมากมายกัดติดรอบๆเอวของศพเจ้าของร้านขายบะหมี่จนแน่น      ผู้คนที่มามุงดูต่างพูดกันว่าเป็น "กฎแห่งกรรม ทำมาหากินโดยฆ่าผู้อื่น สุดท้าย ก็ต้องตายเพราะถูกเขาฆ่า"

ปลาไหลมรณะ

     ที่มณฑล กุ้ย โจว มีชายแก่คนหนึ่งแซ่ ลู่ อายุ ๖๐ ปี ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาชอบกินปลาไหลเป็นประจำ ทุกๆ มื้อเขาต้องตุ๋นปลาไหลเป็นอาหาร ตลอดเวลาที่ผ่านมาปลาไหลจำนวนนับไม่ถ้วนต้องตายด้วยน้ำมือเขา      อยู่มาวันหนึ่ง ชายชราแซ่ลู่ ออกไปตลาดซื้อปลาไหลมาตุ๋นกิน เขาอยากได้ตัวใหญ่ๆและอ้วนเป็นพิเศษคนขายจึงให้เขาเลือกเอาเองตามใจชอบ นายลู่จัดแจงถลกแขนเสื้อแล้วใช้มือล้วงจับปลาไหลในโอ่ง อย่างที่ไม่มีใครคาดคิด! เขาแผดเสียงร้องดังลั่นด้วยความเจ็บปวดทันทีที่ดึงแขนขึ้นจากโอ่ง ทุกคนก็เห็นปลาไหลจำนวนมากมายรุมกัดแขนของเขาแน่นเป็นแถวยาว! แม้ว่านายลู่จะสะบัดอย่างไรก็ไม่หลุด เขาเจ็บปวดมากจนสลบไปใบหน้าขาวซีดด้วยความตกใจกลัวสุดขีด      ประเดี๋ยวคนทั้งตลาดก็พากันมามุงดูจนแน่นขนัดเมื่อทางบ้านรู้เรื่องจึงรีบมาช่วยหามเอาตัวนายลู่กลับไป ครั้นถึงบ้านแล้วลูกๆของเขาพยายามจะดึงเอาปลาไหลออกแต่มันกัดแขนติดแน่นไม่ยอมปล่อย สมาชิกในครอบครัวจึงต้องใช้มีดสับปลาไหลให้ขาดออกไปเป็นท่อนๆถึงกระนั้นแล้วหัวของมันก็ยังติดอยู่! ลูกๆ แต่ละคนต่างก็ต้องใช้มีดปลายแหลมงัดฟันปลาไหลที่ฝังลึกจนถึงกระดูกออกด้วยความยากลำบาก หัวปลาไหลที่แกะ

ฆ่างู ฆ่าชีวิตลูก

     ปีชิงถ่ง ที่หก เดือนห้า ณ มณฑลจื่อเจียง อำเภอ เซินเจียงซัน ชาวนาคนหนึ่งมีนิสัยชอบฆ่าสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เล็กสัตว์น้อยหากเขาพบเห็นมันอยู่ในนา ก็จะต้องตรงเข้าไปฆ่าอย่างไม่ปราณี      ใันหนึ่งขณะที่เขากำลังจะใช้คราดสับดินในนา ก็เหลือบไปเห็นงูใหญ่ตัวหนึ่งขดตัวซุกอยู่มันจ้องตาเขม็งมาที่เขาด้วยความกลัว สัตว์ที่น่าสงสารไม่สามารถเอ่ยวาจา ได้แต่แลบลิ้นแผล็บๆราวกับจะพูดวิงวอนขอร้องให้เว้นชีวิตของตนสักครั้ง แต่ชาวนาผู้มีจิตคิดแต่จะฆ่าไม่เคยรู้สึกถึงคำว่า "เมตตา" เลยแม้แต่น้อย ด้วยมือที่ว่องไวเขาใช้คราดที่แหลมคมสับลงไปบนหัวของงูตัวนั้น จนกระทั่งตายคาที่!      ในปีเดียวกันและคืนเดียวกันนั้นเอง ลูกชายวัย ๘ ขวบของเขาก็ได้ฝันไปว่าถูกงูตัวใหญ่เข้ามาทำร้าย เด็กน้อยตกใจตื่นขึ้นร้องไห้จ้า พอรุ่งเช้าก็ป่วยเป็นไข้ ร่างกายเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว นอนเพ้อหวาดผวาอยู่ตลอดเวลา เขาและภรรยาพยายามหายาต่างๆมาให้กินก็ไม่ได้ผล เป็นเช่นนี้อยู่หลายวัน      จนกระทั่งคืนสุดท้านลูกชายของชาวนาได้แต่ละเมอตะโกนร้องว่า "ช่วยผมด้วย! งูตัวใหญ่เข้ามากัดผม! เด็กน้อยมีอาการตกใจสุดขีด ตาถลนลิ้นจุกปากและข