ในปลายสมัยราชวงศ์ ชิง ประเทศจีนเกิดสงครามใหญ่บ้านเมืองวุ่นวายระส่ำระส่ายไปทั่วทุกแห่งหน เวลานั้นมีผู้บัญชาการทหารท่านหนึ่ง แซ่ ถัง นามว่า อี้ อัน ได้รับคำสั่งยกกำลังโดยทางเรือไปช่วย กองทหารของท่าน ฉี่ ซู่ เหยิน หลังจากเสร็จสิ้นภาระกิจเรียบร้อยแล้ว ระหว่างที่ถังอี้อัน ยืนอยู่บนเรือเพื่อเดินทางกลับ จิตใจของท่านห่วงใยคิดถึงน้องชาย ซึ่งเป็นทหารประจำการอยู่ที่เซี้ยเหมิน
ขณะนั้นเองมีชาวประมง ๔ คน จับตะพาบยักษ์มาได้ตัวหนึ่งท่านผู้บัญชาการทหารเห็นแล้วรู้สึกสงสาร เมื่อเจรจาไต่ถามเพื่อขอซื้อไปปล่อย แต่ชาวประมงเรียกราคาสูงลิบลิ่ว ท่านจึงปรึกษากับภรยาว่าจะซื้อดีหรือไม่ คุณนายผู้เป็นภรรยาก็ไม่อยากซื้อเพราะราคาแพงเหลือเกิน
ขณะที่ทั้งสองกำลังจะปฏิเสธ อยู่ๆ ตะพาบน้ำยักษ์ตัวนั้นก็มีน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด ภรรยาของท่านผู้บัญชาการเห็นแล้วรู้สึกเวทนาสงสารจับใจ จึงตัดสินใจซื้อตามราคาที่ถูกเรียกร้อง
ท่าน ถัง อี้ อัน และภรรยาให้คนช่วยอุ้มตะพาบน้ำยักษ์ไปที่ข้างเรือ ขณะนั้นเองท่านได้พูดขึ้นว่า
"ตัวเจ้าถึงแม้จะเกิดเป็นสัตว์แต่ก็มีชีวิตจิตใจ ฉันห่วงใยชีวิตเจ้าเช่นเดียวกับที่เฝ้าห่วงใยชีวิตน้องชายของฉันเอง
ด้วยกระแสจิตใจที่เหมือนกันและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คงจะช่วยให้น้องชายซึ่งอยู่ห่างไกลกันคนละฟากฝั่งทะเล สามารถล่วงรู้ถึงความห่วงใยคิดถึงที่ฉันมีต่อเขาได้"
เมื่อกล่าวจบ ท่านผู้บัญชาการก็ปล่อยตะพาบน้ำยักษ์ลงทะเลไป ตะพาบน้ำยักษ์ตัวนั้นพอว่ายไปได้นิดหน่อยก็หันกลับมามองดูสองสามีภรรยาผู้มีเมตตาครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับจะขอบคุณแล้วขอบคุณอีก ก่อนที่จะดำลงสู่ใต้ทะเล
หลังจากนั้นผ่านไปหนึ่งเดือนเต็มท่านผู้บัญชาการทหาร ถังอี้ อัน ก็ได้รับจดหมายจากน้องชายของท่านเขียนมาถึงว่า เขาสบายดีอย่าได้วิตกกังวลไปเลย จดหมายฉบับนั้นน้องชายของท่านเขียนเมื่อเดือน ๙ วันที่ ๘ ในปีรัชกาลราชวงศ์ ชิง ซึ่งวันนั้นเป็นวันเดียวกันกับที่ท่าน ถัง อี้ อัน ปล่อยตะพาบยักษ์ลงทะเล
มันน่าคิดว่า...ในสมัยโบราณใช้นกพิราบเพื่อส่งข่าวสารให้แก่กัน
แต่ระยะทางอันยาวไกลและอุปสรรคต่างๆมากมาย
จึงเป็นการยากที่ข่าวสารจะไปถึง
แต่สำหรับ"ใจ"ที่สื่อถึงกันนั้น
ไม่มีสิ่งใดจะมขวางกั้นได้เลย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น