ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

กินให้หนำใจ


     ในสมัยราชวงศ์ ชิง ที่มณฑล จื่อ เจียง มีข้าราชการคนหนึ่งแซ่เซิน ครอบครัวของเขาร่ำรวยมั่งคั่งมาก ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาคนแซ่เซิน ใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย ชอบเลี้ยงพรรคพวกเพื่อนฝูงอยู่เสมอ เมื่อได้รับราชการแล้วก็ยังไม่ทิ้งนิสัยใช้เงินฟุ่มเฟือย ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือนห้องพัก เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายตลอดจนกระทั่งรถม้า ทุกอย่างเขาต้องพิถีพิถันเลือกใช้แต่ของดีๆ
     อาหารทั้งสามมื้อในแต่ละวัน เขาจะจัดหาแต่ของแพงมาเลี้ยงแขก อาทิเช่น สมองเป็ดอบ เนื้อกวางย่าง หูฉลาม เป็นอย่างนี้ชั่วนาตาปี คิดดูเอาเถิดว่า เขาต้องใช้ชีวิตสัตว์มากมายเท่าไร มากินมาเลี้ยงเพื่อนฝูง
     อยู่มาไม่นานเขาก็ลาออกจากการเป็นข้าราชการกลับมาอยู่บ้านเฉยๆวันทั้งวันคิดแต่เรื่องใช้เงิน ทั้งซื้อที่ขยายบ้านทุ่มเทเงินทองตกแต่งประดับประดา สร้างสวนน้ำตก สำหรับเรื่องกินนั้น เขาจะคอยเลือกสรรแต่ของหายากที่แพงลิบลิ่ว เขากินอย่างฟุ่มเฟือยมากกว่าตอนที่เป็นข้าราชการเสียอีก
     ผ่านไป ๑๐ กว่าปี ครอบครัวเขาก็ย่ำแย่ ทรัพย์สินเงินทองร่อยหรอลงไปทุกทีๆ เขาเริ่มกลัดกลุ้มใจจนล้มป่วยและกลายเป็นคนบ้าเสียสติในที่สุด
     เมื่อถึงเวลากินข้าวเขาจะเก็บของทุกอย่างยัดใส่ปากกิน ไม่ว่าจะสกปรกหรือสะอาด กินได้หรือไม่ได้เขาก็แยกไม่ออก หนักๆเข้าทั้งถ้วยจานชาม กาน้ำชา กล้องยาสูบ เขาจะนำมาทุบให้แตก แล้วเคี้ยวกินจนหมด ของที่กลืนลงไปในท้องไม่สามารถย่อยได้ ดังนั้นคนแซ่ เซิน จึงอยู่ได้ไม่กี่วันก็ตาย!
   
     เฮ้อ....หนังหุ้มเนื้อ เนื้อหุ้มกระดูก
     แต่ละชีวิตแต่ละคนมีเหมือนกันหมด
     สุข ทุกข์ ก็มีเหมือนกัน
     ถ้ามีดและเขียงสามารถรู้สึก
     มีหรือจะทนรองรับทั้งเลือดทั้งเนื้ออยู่ได้
     หากทุกวันเอาแต่ฆ่าชีวิตผู้อื่นมากิน
     นับวันบาปกรรมยิ่งเพิ่มเป็นทบทวีคูณ
     ไม่ช้า...ก็ต้องถูกฟ้าลงทัณฑ์!

เกี่ยวกับความคิดที่ไม่ถูกต้อง ในเรื่องกินนี้ ในอดีตที่เมืองหังโจว ชายผู้หนึ่ง แซ่ พัน ซื่อ เต่อ ไจ อายุมากแล้วแต่ยังไม่มีลูก เขาไปได้ยินคนพูดกันว่า กินตะพาบน้ำบำรุงเป็นประจำจะทำให้มีลูกได้ เขาจึงซื้อตะพาบน้ำกับปลาไหลมาเลี้ยงไว้ เขาใช้ปลาไหลเป็นๆมาสับเป็นท่อนให้ตะพาบน้ำกิน ส่วนตัวเขาก็ฆ่าตะพาบน้ำมากินบำรุง สรุปแล้วทุกๆวันฆ่าทั้งปลาไหล ทั้งตะพาบน้ำ
     ตลอดหนึ่งปีผ่านไปเขาฆ่าตะพาบน้ำกินบำรุงอยู่ทุกวัน ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีลูก แต่หลังจากนั้นอีกไม่นาน พัน เต่อ ไจ คนโง่ที่หลงงมงาย ทั้งตัวมีฝีผุดขึ้นจนทั่ว นำ้หนองไหลเยิ้ม เน่าเหม็นเจ็บปวดทรมาณกินไม่ได้นอนไม่หลับร้องครวญครางทั้งวันทั้งคืนอยู่ได้ไม่กี่เดือนก็ตาย


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

สละเนื้อช่วยนก

ในกาลก่อน เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่บำเพ็ญโพธิสัตว์ธรรม ยังมิได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า     วันหนึ่งพระองค์ได้ทรงทอดพระเนตรเห็นเหยี่ยวตัวใหญ่ที่ผอมโซ กำลังบินไล่ล่านกตัวเล็กๆ หมายจะกินเป็นอาหาร วิหกน้อยหวาดกลัวเป็นอันมาก มันพยายามบินหนีเพื่อเอาชีวิตรอดจนสุดกำลัง ครั้นได้แลเห็นพระบรมโพธิสัตว์ประทับอันอยู่มิไกล นกน้อยตัวนั้นจึงโผบินลงสู่อ้อมอก ของพระองค์ทันที    พญาเหยี่ยวไม่กล้าติดตามเข้าไปใกล้ ได้แต่เฝ้าบินวนอยู่ไม่ไปไหน เมื่อเป็นเช่นนี้ พญาเหยี่ยวผู้หิวโหยจึงพูดขึ้นด้วยความโมโหว่า    "ข้าแต่พระโพธิสัตว์เจ้า!  พระองค์อยากช่วยนกตัวเล็กๆ  แล้วจะปล่อยให้ข้าบาทต้องอดตายหรืออย่างไร?"     พระมหาโพธิสัตว์เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ทรงยิ้มแล้วตรัสแก่พญานกว่า     "ท่านประสงค์จะกินสิ่งใด เพื่อคลายหิวเล่า?"     พญาเหยี่ยวได้ทูลตอบทันทีว่า     "ข้าพระองค์ อยากกินเนื้อเป็นอาหาร"     พระโพธิสัตว์จึงตรัสว่า    " ถ้าเช่นนั้นเรายินดีมอบเนื้อของเรา ให้เป็นอาหารแก่ท่านแทนเนื้อข...

วงเวียนกรรม

     สมุดบันทึกการเข่นฆ่าของ หวง เสียง ฝ่าน เขียนเล่าว่า       "เวลานี้บ้านเมืองเกิดกลียุคจิตใจของผู้คนต่ำ ไม่ว่าจะไปทิศทางไหน ก็พบแต่การกระทำที่เหี้ยมโหด ทุกแห่งหนมีแต่ปล้น ฆ่า ฟันแทง แก่งแย่งชิงความเป็นใหญ่ มุ่งประหัตประหารซึ่งกันและกัน ผู้คนล้มตายกลาดเกลื่อนราวกับชีวิตไร้ค่า คนเห็นคนเหมือนไม่ใช่คน ฆ่าฟันกันได้เหมือนผักปลา ความหายนะปกคลุกไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ทั้งเด็กเล็กผู้ใหญ่หนุ่มสาวและคนชราต่างมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความมืดมนอันน่าสะพรึงกลัว..."      ในขณะนั้น มีบัณฑิตคนหนึ่งนามว่า หลี่ เผย เต๋อ มีชีวิตอยู่เห็นเหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้น ก็ได้แต่รำพึงด้วยความสลดหดหู่ใจว่า "ไม่น่าเกิดเรื่องเช่นนี้ในโลกนี้เลย...ไม่น่าเลย..."       ต่อมาเขาได้ฝันว่าบนเขาสูงมีนักพรตผู้สำเร็จธรรมแล้วท่านหนึ่งมีนามว่า "กวน หลิน เต้า จ่าง" บัณฑิตผู้ต้องการค้นหาคำตอบจึงดั้นด้นปีนขึ้นไปบนภูเขา เมื่อพบท่านนักพรตแล้วเขาก็กราบนมัสการเรียนถามท่านว่า       "เหตุใดในสากลโลกนี้ มนุษย์จะต้องพานพบกับชะตากรรมอันเลวร้าย "ฉนคนดีๆจึงต้องล้...

เมตตาธรรมค้ำจุนโลก

     ในสมัยราชวงศ์ หมิง มีนักปฏิบัติธรรมผู้หนึ่ง นามว่า หวง จี่ ซื่อ แม้ว่าในขณะนั้นแผ่นดินจะร้อนระอุไปด้วยเภทภัยรอบด้าน ผู้คนล้มตายลงอย่างน่าอนาถ แต่เขาก็ยังมุ่งมั่นสร้างความดี โดยมิได้หวั่นไหวแม้แต่น้อย      จิตใจของ หวง จี่ ซือ มีแต่ความเมตตาห่วงใย เอื้ออาทรต่อทุกชีวิต เขาทราบว่าบนเขามีพระสงฆ์ผู้ซึ่งบรรลุธรรมสูงสุดสามารถหยั่งรู้ฟ้าดินและเหตุการณ์ความเป็นไปทั้งหลายในโลก หวง จี่ ซือ ผู้บำเพ็ญธรรมจึงเดินทางขึ้นเขาเพื่อขอคำชี้แนะจากท่าน เขาได้กราบนมัสการถามพระอริยสงฆ์องค์นั้นว่า       "ข้าแต่พระคุรเจ้าผู้สูงยิ่งด้วยบารมีธรรม เวลานี้ผู้คนนับล้านล้มตายลงมากมายเนื่องด้วยภัยพิบัตินานับประการ ยากที่จะมีใครรอดพ้นได้ ขอพระคุณเจ้าได้โปรดเมตตาชี้แนะวิธีที่สามารถจะหยุดยั้งมหันตภัยนั้นให้ได้ทันการ ด้วยเถิด"       พระคุณเจ้าผู้เปี่ยมด้วยเมตตา ดวงหน้าของท่านมีรอยยิ้มปรากฎขึ้นพร้อมกับกล่าวว่า      " มีอย่างเดียว...อย่าฆ่าสัตว์! จงช่วยกันปลดปล่อยชีวิตสัตว์ทั้งหลายเถิด"       กล่าวจบ ท่านก็หลับตาลงนิ...