ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ผลกรรมจากอดีต


     ชายชราแซ่ ฉวี่ ใครๆ เรียกเขาว่า เหลาฉวี่ ทำงานเป็นคนรับใช้ในบ้านสกุล เกา ลุงฉวี่เป็นคนซื่อสัตย์ ขยันและมัธยัสถ์ จากคุณสมบัติที่ดีเหล่านี้จึงเป็นที่ไว้วางใจของท่านเจ้าของบ้าน ลุงฉวี่ได้รับหน้าที่พ่อบ้านคอยดูแลความเรียบร้อยทุกอย่างในบ้านสกุลเกา คนรับใช้ทุกคนต่างก็เคารพรักและเชื่อฟังเขาเป็นอย่างดี
     วันหนึ่งสายมากแล้วเกือบเที่ยงวัน ลุงฉวี่ก็ยังไม่ยอมออกจากห้อง คนในบ้านจึงไปเคาะประตูเรียกอยู่นาน ลุงฉวี่ถึงจะเปิดประตู ท่าทางของเขาอิดโรยอ่อนเพลียเหมือนไม่ได้หลับไม่ได้นอน ครั้นสอบถามดู ลุงฉวี่จึงเล่าให้ทุกคนฟังว่า
     "เมื่อ ๓๐ ปีก่อนโน้น สมัยที่ลุงยังหนุ่มๆ อายุแค่ ๒๐ ปี ตอนนั้นอยู่ที่ตำบลตงกวน ลุงเปิดร้านขายบะหมี่ใส่ปลาไหล กิจการดีมากลุกค้าพากันอุดหนุนจนแน่นร้าน ลุงต้องฆ่าปลาไหลวันละหลายสิบกิโลทุกๆวัน ติดต่อกันมาเกือบ ๓๐ ปีไม่มีขาด สามารถเก็บสะสมเงินได้หลายหมื่นชั่งทีเดียว
     ในช่วงนั้น นำ้มันยางสำหรับทาเครื่องสานราคาลดลงมาก ลุงเห็นเป็นโอกาสเหมาะจึงนำเงินที่สะสมทั้งหมดไปซื้อเพื่อหวังจะเก็งกำไร แต่ไม่นึกเลยว่าจะเกิดไฟไหม้ น้ำมันยางที่ซื้อตุนไว้ถูกไฟเผาวอดวายไม่มีเหลือ เงินทองทรัพย์สินที่เป็นทุนละลายหายไปในกองไฟจนหมดสิ้น ลุงสิ้นเนื้อประดาตัวจึงออกร่อนเร่หางานทำมาเรื่อย จนในที่สุดได้เข้ามาอยู่ในบ้านสกุล เกา ทำงานเป็นลูกจ้าง สามารถอยู่อย่างสงบสุข
     จนกระทั่งเมื่อคืนนี้เอง ลุงฝันว่า ปลาไหลมากมายเหลือเกินเข้ามาทวงชีวิต ในจำนวนนั้นมีตัวใหญ่ ๒ ตัว แววตาของมันเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น ทั้งสองตัวตรงรี่เข้ามาแย่งกันกัดที่ขาของลุง พอสะดุ้งตกใจตื่นก็พบว่าที่ขาทั้งสองมีแต่รอยฟันเล็กๆ และช้ำบวมเจ็บทรมานจนนอนไม่หลับ จนกระทั่งสายมากแล้วจึงลุกลงจากเตียง ก็ไม่สามารถยืนขึ้นได้ มันปวดเหลือเกิน...."
     คนรับใช้ได้รายงานให้คุณชาย เกา เจ้าของบ้านทราบ ท่านจึงมาเยี่ยมดูอาการที่ห้อง เมื่อเห็นขาของลุงฉวี่บวมมากก็นำยาอย่างดีมาทารักษาและสั่งให้หยุดงานพักผ่อน ไม่นานอาการปวดบวมก็ค่อยๆหายไป
     แต่อีกไม่นานต่อมา มีอยู่วันหนึ่งลุงฉวี่เงียบหายไปทั้งวันไม่ออกจากห้องเลย ไม่ว่าจะเรียกอย่างไรประตูก็ไม่เปิด คุณชายเกาจึงให้คนใช้ในบ้านช่วยกันปีนขึ้นไปส่องดูทางช่องลมก็เห็นลุงฉวี่นอนหายใจแขม่วๆอยู่บนเตียงไม่ขยับเขยื้อน
     คุณชายเกาจึงสั่งให้งัดประตูเข้าไปช่วย เมื่อลุงฉวี่พบหน้าเจ้าของบ้านผู้ให้ความอนุเคราะห์ตนมาตลอด ชายชราผู้น่าสงสารก็น้ำตานองหน้าระล่ำระลักพูดขึ้นว่า
     "เมื่อคืนบ่าวฝันว่า ปลาไหล ๒ ตัวเดิม มันกลับมารุมกัดคราวนี้มันกัดจนถึงกระดูกเจ็บปวดยิ่งกว่าเก่าเห็นทีบ่าวคงจะไม่รอดแน่แล้ว!"
     เจ้าของบ้านผู้เมตตาฟังแล้วรู้สึกเวทนายิ่งนัก จึงปลอบโยนให้กำลังใจว่า
     "เหลา ฉวี่ ลุงคงไม่เป็นอะไรมากหรอก ทายาไม่กี่วันก็หาย ทำใจดีๆไว้"
     แต่ครั้งนี้แม้จะใช้ยาดีแค่ไหนก็ไม่เป็นผล ขาของลุงฉวี่บวมและเริ่มเน่าจนเห็นกระดูกหลังจากนั้นไม่กี่วันลุงฉวี่ก็ตายจากไป
     ช่างน่าอนาถแท้...กรรมหนอกรรม !
     ไม่มีคำว่า"สูญหาย"
     ๓๐ ปีก่อนทำอย่างไรไว้
     ๓๐ ปีต่อมาก็ยังต้องรับผล
     พระอริยะเจ้าทั้งหลายจึงกล่าวว่า
     "ทุกสิ่งที่เราทำลงไปแล้ว ไม่ว่าดีหรือเลว
     เราจะต้องเป็นผู้รับผลของมันอย่างแน่นอน...ไม่ช้าก็เร็ว"



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

สละเนื้อช่วยนก

ในกาลก่อน เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่บำเพ็ญโพธิสัตว์ธรรม ยังมิได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า     วันหนึ่งพระองค์ได้ทรงทอดพระเนตรเห็นเหยี่ยวตัวใหญ่ที่ผอมโซ กำลังบินไล่ล่านกตัวเล็กๆ หมายจะกินเป็นอาหาร วิหกน้อยหวาดกลัวเป็นอันมาก มันพยายามบินหนีเพื่อเอาชีวิตรอดจนสุดกำลัง ครั้นได้แลเห็นพระบรมโพธิสัตว์ประทับอันอยู่มิไกล นกน้อยตัวนั้นจึงโผบินลงสู่อ้อมอก ของพระองค์ทันที    พญาเหยี่ยวไม่กล้าติดตามเข้าไปใกล้ ได้แต่เฝ้าบินวนอยู่ไม่ไปไหน เมื่อเป็นเช่นนี้ พญาเหยี่ยวผู้หิวโหยจึงพูดขึ้นด้วยความโมโหว่า    "ข้าแต่พระโพธิสัตว์เจ้า!  พระองค์อยากช่วยนกตัวเล็กๆ  แล้วจะปล่อยให้ข้าบาทต้องอดตายหรืออย่างไร?"     พระมหาโพธิสัตว์เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ทรงยิ้มแล้วตรัสแก่พญานกว่า     "ท่านประสงค์จะกินสิ่งใด เพื่อคลายหิวเล่า?"     พญาเหยี่ยวได้ทูลตอบทันทีว่า     "ข้าพระองค์ อยากกินเนื้อเป็นอาหาร"     พระโพธิสัตว์จึงตรัสว่า    " ถ้าเช่นนั้นเรายินดีมอบเนื้อของเรา ให้เป็นอาหารแก่ท่านแทนเนื้อของนกน้อยตัวนี้"     ขณะที่พระมหาโพธิสัตว์กำลังจะตัดเนื้อที

เมตตาธรรมค้ำจุนโลก

     ในสมัยราชวงศ์ หมิง มีนักปฏิบัติธรรมผู้หนึ่ง นามว่า หวง จี่ ซื่อ แม้ว่าในขณะนั้นแผ่นดินจะร้อนระอุไปด้วยเภทภัยรอบด้าน ผู้คนล้มตายลงอย่างน่าอนาถ แต่เขาก็ยังมุ่งมั่นสร้างความดี โดยมิได้หวั่นไหวแม้แต่น้อย      จิตใจของ หวง จี่ ซือ มีแต่ความเมตตาห่วงใย เอื้ออาทรต่อทุกชีวิต เขาทราบว่าบนเขามีพระสงฆ์ผู้ซึ่งบรรลุธรรมสูงสุดสามารถหยั่งรู้ฟ้าดินและเหตุการณ์ความเป็นไปทั้งหลายในโลก หวง จี่ ซือ ผู้บำเพ็ญธรรมจึงเดินทางขึ้นเขาเพื่อขอคำชี้แนะจากท่าน เขาได้กราบนมัสการถามพระอริยสงฆ์องค์นั้นว่า       "ข้าแต่พระคุรเจ้าผู้สูงยิ่งด้วยบารมีธรรม เวลานี้ผู้คนนับล้านล้มตายลงมากมายเนื่องด้วยภัยพิบัตินานับประการ ยากที่จะมีใครรอดพ้นได้ ขอพระคุณเจ้าได้โปรดเมตตาชี้แนะวิธีที่สามารถจะหยุดยั้งมหันตภัยนั้นให้ได้ทันการ ด้วยเถิด"       พระคุณเจ้าผู้เปี่ยมด้วยเมตตา ดวงหน้าของท่านมีรอยยิ้มปรากฎขึ้นพร้อมกับกล่าวว่า      " มีอย่างเดียว...อย่าฆ่าสัตว์! จงช่วยกันปลดปล่อยชีวิตสัตว์ทั้งหลายเถิด"       กล่าวจบ ท่านก็หลับตาลงนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรอีกเลย

กรรมตามทัน

     ในวัดเก่าแก่แห่งหนึ่ง มีสมุดบันทึกเขียนเล่าว่า      ที่มณฑล ซูโจว มีร้านขายบะหมี่ใส่ปลาไหลย่างอยู่ร้านหนึ่ง ฝีมือที่ปรุงรสได้เป็นเลิศของเจ้าของร้านทำให้ขายดีเป็นที่หนึ่ง สาเหตุก็เพราะวิธีย่างปลาไหลที่ไม่เหมือนใคร เขาใช้ปลาไหลเป็นๆปล่อยลงไปบนแผ่นเหล็กที่มีขอบโดยรอบ ปลาไหลที่ถูกเผาจะดิ้นไปมาอยู่บนกระทะเหล็ก ซึ่งตั้งอยู่บนเตาร้อนๆ จนกระทั่งหนังของมันไหม้สุกและหลุดออกไป ปลาไหลต้องทรมานอยู่อย่างนี้จนตาย! เสร็จแล้วจึงถูกนำขึ้นมาสับวางบนบะหมี่ ลูกค้าทั้งหลายที่ติดอกติดใจในรสชาด ต่างพากันมาอุดหนุนจนแน่นร้านทุกวัน      อยู่มาคืนหนึ่งเจ้าของร้านบะหมี่อันลือชื่อได้ออกไปเที่ยวกลางดึกแล้วหายไปไม่กลับมา เช้าวันรุ่งขึ้นลูกๆจึงออกตามหาก็พบว่า เจ้าของร้านบะหมี่ผู้เป็นพ่อกลายเป็นศพลอยมาติดอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเสียแล้ว      ขณะที่ชาวบ้านช่วยกันเอาศพขึ้นจากน้ำ ทุกคนก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นปลาไหลมากมายกัดติดรอบๆเอวของศพเจ้าของร้านขายบะหมี่จนแน่น      ผู้คนที่มามุงดูต่างพูดกันว่าเป็น "กฎแห่งกรรม ทำมาหากินโดยฆ่าผู้อื่น สุดท้าย ก็ต้องตายเพราะถูกเขาฆ่า"