ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

แส้อาญาสิทธิ์


     ครั้งหนึ่งที่มณฑล เยี่ยตง มีผู้บัญชาการทหารคนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่กำยำล่ำสัน เขาสามารถต่อสู้และเอาชนะคนนับสิบได้โดยลำพัง ยามว่างเขามักจะอ่านหนังสือแต่งกาพย์กลอนหรือไม่ก็ฝึกเขียนพู่กัน
     ผู้บัญชาการทหารคนนี้ มีความรู้ความสามารถรอบด้านแต่เสียอย่างเดียวที่เขาชอบกินเนื้อหมา ทุกมื้อนายทหารผู้นี้จะต้องสั่งให้พ่อครัวทำอาหารด้วยเนื้อหมาแล้วกินอย่างเอร็ดอร่อย
     ดังนั้นไม่ว่าเขาจะเดินไปทางไหน บรรดาสุนัขทั้งหลายก็จะตามเห่าหอนไปตลอดทาง ต่อมาผู้บัญชาการทหารคนนี้ ได้ย้ายไปประจำการอยู่ที่มณฑล ฝู่เจี๋ยน
     วันหนึ่งหลังจากที่ได้ไปตรวจดูความสงบเรียบร้อยของกองทหารบนภูเขา วู่ อี๋ ซึ่งก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว บรรดาทหารชั้นผู้น้อยสืบทราบมาว่า หัวหน้าของตนโปรดปรานเนื้อหมาเป็นที่สุด จึงฆ่าหมาปรุงอาหารพร้อมทั้งจัดสุราอย่างดีมาเลี้ยงต้อนรับกันบนเรือต่างดื่มกินกันอย่างสนุกสนานครื้นเครง
     เช้าวันรุ่งขึ้น ลูกน้องทั้งหลายก็อาสานำเจ้านายที่เพิ่งจะย้ายมาใหม่ ออกไปเดินชมสถานที่ต่างๆเมื่อผ่านมาถึงวัดแห่งหนึ่ง ผู้บัญชาการทหารนึกอยากจะเข้าไปเที่ยวชม แต่ขณะที่กำลังจะก้าวข้ามธรณีประตูใหญ่ของวัด ทันใดนั้นเขาก็เห็นแสงสว่างจ้าพุ่งตรงเข้ามาที่หน้าอย่างแรง ผู้บัญชาการทหารแผดร้องเสียงดังลั่นร่างของเขากระเด็นหงายหลังล้มลง หมดสติแน่นิ่งไปทันที
     นายทหารที่ติดตามต่างตกตะลึง และช่วยกันพยุงตัวเขาให้ยืนขึ้น แต่ว่า มือ เท้า แขน ขา อันกำยำล่ำสันของผู้บัญชาการทหารอ่อนปวกเปียกไปหมด เหมือนกับทั้งร่างไม่มีกระดูก อนิจจา...เมื่อหันมามองดูอีกทีปรากฎว่าเขาตายไปเสียแล้ว!
      ครั้นแล้วชายชราผู้ดูแลวัด ออกมาพบเข้าจึงพูดขึ้นว่า
     "วัดแห่งนี้คนที่มีบุญบารมี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็มักจะปรากฏให้เห็น คนที่กินเนื้อร่างกายไม่บริสุทธิ์ จะไม่กล้าเหยียบย่างเข้ามาเลย
     แต่ชายผู้นี้เป็นคนใหญ่คนโต ข้าพเจ้าไม่กล้าขัดขวาง นานมาแล้วผู้คนร่ำลือกันว่า คนกินเนื้อสัตว์จะเข้ามาในวัดนี้ไม่ได้ ผู้ที่ฝ่าฝืนต้องถูกลงฑัณฑ์ด้วยแส้! ต้องถูกตีจนกระดูกแหลกเหลวไปทั้งตัว วันนี้ตัวข้าและคนที่มามุงดูก็ได้เห็นกับตาตนเองแล้ว"
     
     สวรรค์ปกป้องคนดี กำราบคนชั่ว
     ไม่แบ่งว่าโง่เขลาหรือ ฉลาด
     ร่ำรวย หรือ ยากจน
     สูงศักดิ์ หรือ ต่ำต้อย
     ฟ้าเบื้องบน....ยุติธรรมที่สุด



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

สละเนื้อช่วยนก

ในกาลก่อน เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่บำเพ็ญโพธิสัตว์ธรรม ยังมิได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า     วันหนึ่งพระองค์ได้ทรงทอดพระเนตรเห็นเหยี่ยวตัวใหญ่ที่ผอมโซ กำลังบินไล่ล่านกตัวเล็กๆ หมายจะกินเป็นอาหาร วิหกน้อยหวาดกลัวเป็นอันมาก มันพยายามบินหนีเพื่อเอาชีวิตรอดจนสุดกำลัง ครั้นได้แลเห็นพระบรมโพธิสัตว์ประทับอันอยู่มิไกล นกน้อยตัวนั้นจึงโผบินลงสู่อ้อมอก ของพระองค์ทันที    พญาเหยี่ยวไม่กล้าติดตามเข้าไปใกล้ ได้แต่เฝ้าบินวนอยู่ไม่ไปไหน เมื่อเป็นเช่นนี้ พญาเหยี่ยวผู้หิวโหยจึงพูดขึ้นด้วยความโมโหว่า    "ข้าแต่พระโพธิสัตว์เจ้า!  พระองค์อยากช่วยนกตัวเล็กๆ  แล้วจะปล่อยให้ข้าบาทต้องอดตายหรืออย่างไร?"     พระมหาโพธิสัตว์เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ทรงยิ้มแล้วตรัสแก่พญานกว่า     "ท่านประสงค์จะกินสิ่งใด เพื่อคลายหิวเล่า?"     พญาเหยี่ยวได้ทูลตอบทันทีว่า     "ข้าพระองค์ อยากกินเนื้อเป็นอาหาร"     พระโพธิสัตว์จึงตรัสว่า    " ถ้าเช่นนั้นเรายินดีมอบเนื้อของเรา ให้เป็นอาหารแก่ท่านแทนเนื้อของนกน้อยตัวนี้"     ขณะที่พระมหาโพธิสัตว์กำลังจะตัดเนื้อที

เมตตาธรรมค้ำจุนโลก

     ในสมัยราชวงศ์ หมิง มีนักปฏิบัติธรรมผู้หนึ่ง นามว่า หวง จี่ ซื่อ แม้ว่าในขณะนั้นแผ่นดินจะร้อนระอุไปด้วยเภทภัยรอบด้าน ผู้คนล้มตายลงอย่างน่าอนาถ แต่เขาก็ยังมุ่งมั่นสร้างความดี โดยมิได้หวั่นไหวแม้แต่น้อย      จิตใจของ หวง จี่ ซือ มีแต่ความเมตตาห่วงใย เอื้ออาทรต่อทุกชีวิต เขาทราบว่าบนเขามีพระสงฆ์ผู้ซึ่งบรรลุธรรมสูงสุดสามารถหยั่งรู้ฟ้าดินและเหตุการณ์ความเป็นไปทั้งหลายในโลก หวง จี่ ซือ ผู้บำเพ็ญธรรมจึงเดินทางขึ้นเขาเพื่อขอคำชี้แนะจากท่าน เขาได้กราบนมัสการถามพระอริยสงฆ์องค์นั้นว่า       "ข้าแต่พระคุรเจ้าผู้สูงยิ่งด้วยบารมีธรรม เวลานี้ผู้คนนับล้านล้มตายลงมากมายเนื่องด้วยภัยพิบัตินานับประการ ยากที่จะมีใครรอดพ้นได้ ขอพระคุณเจ้าได้โปรดเมตตาชี้แนะวิธีที่สามารถจะหยุดยั้งมหันตภัยนั้นให้ได้ทันการ ด้วยเถิด"       พระคุณเจ้าผู้เปี่ยมด้วยเมตตา ดวงหน้าของท่านมีรอยยิ้มปรากฎขึ้นพร้อมกับกล่าวว่า      " มีอย่างเดียว...อย่าฆ่าสัตว์! จงช่วยกันปลดปล่อยชีวิตสัตว์ทั้งหลายเถิด"       กล่าวจบ ท่านก็หลับตาลงนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรอีกเลย

กรรมตามทัน

     ในวัดเก่าแก่แห่งหนึ่ง มีสมุดบันทึกเขียนเล่าว่า      ที่มณฑล ซูโจว มีร้านขายบะหมี่ใส่ปลาไหลย่างอยู่ร้านหนึ่ง ฝีมือที่ปรุงรสได้เป็นเลิศของเจ้าของร้านทำให้ขายดีเป็นที่หนึ่ง สาเหตุก็เพราะวิธีย่างปลาไหลที่ไม่เหมือนใคร เขาใช้ปลาไหลเป็นๆปล่อยลงไปบนแผ่นเหล็กที่มีขอบโดยรอบ ปลาไหลที่ถูกเผาจะดิ้นไปมาอยู่บนกระทะเหล็ก ซึ่งตั้งอยู่บนเตาร้อนๆ จนกระทั่งหนังของมันไหม้สุกและหลุดออกไป ปลาไหลต้องทรมานอยู่อย่างนี้จนตาย! เสร็จแล้วจึงถูกนำขึ้นมาสับวางบนบะหมี่ ลูกค้าทั้งหลายที่ติดอกติดใจในรสชาด ต่างพากันมาอุดหนุนจนแน่นร้านทุกวัน      อยู่มาคืนหนึ่งเจ้าของร้านบะหมี่อันลือชื่อได้ออกไปเที่ยวกลางดึกแล้วหายไปไม่กลับมา เช้าวันรุ่งขึ้นลูกๆจึงออกตามหาก็พบว่า เจ้าของร้านบะหมี่ผู้เป็นพ่อกลายเป็นศพลอยมาติดอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเสียแล้ว      ขณะที่ชาวบ้านช่วยกันเอาศพขึ้นจากน้ำ ทุกคนก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นปลาไหลมากมายกัดติดรอบๆเอวของศพเจ้าของร้านขายบะหมี่จนแน่น      ผู้คนที่มามุงดูต่างพูดกันว่าเป็น "กฎแห่งกรรม ทำมาหากินโดยฆ่าผู้อื่น สุดท้าย ก็ต้องตายเพราะถูกเขาฆ่า"