ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

มุ่งมั่นตั้งใจจริง


     เฉิน ซิง ถั่น เป็นผู้ช่วยนายอำเภออยู่ในมณฑล ฝู่ โจว ตอนหนุ่มๆ ก่อนที่จะสอบเข้ารับราชการ เขากับเพื่อนๆนักศึกษาที่มาจากอำเภอ ซีหู กำลังจะพากันไปกินเลี้ยงที่ร้านอาหารในเมือง
     เมื่อมาถึงหน้าร้านอาหารขณะที่ทุกคนกำลังจะเดินเข้าประตู เฉิน ซิง ถั่น เห็นชายคนหนึ่งใช้ไม้ตีวัวไม่หยุด แต่ไม่ว่าจะตีเท่าไหร่วัวก็ไม่ยอมไป เขาจึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ก็เห็นวัวตัวนั้นสองแก้มเปียกชุ่ม น้ำตาร่วงร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ตลอดเวลา มันคงรู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน
     นักศึกษาหนุ่ม เฉิน ซิง ถั่น ยืนนิ่งด้วยความสงสาร สักครู่เมื่อคิดขึ้นได้เขาจึงเอ่ยถามชายเจ้าของวัวให้รู้ว่า จะต้องใช้เงินสักเท่าไรเพื่อซื้อวัวตัวนั้นครั้นตกลงราคากันเรียบร้อยแล้ว เฉิน ซิง ถั่น จึงเดินกลับมาคุยกับเพื่อนๆ ที่รอเขาอยู่ว่า
     "ที่พวกเราเตรียมตัวกันมากินเลี้ยงในวันนี้ มีเงินกันคนละเท่าไร?
      ข้าพเจ้าอยากขอเรี่ยรายรวบรวมจากทุกคน
      เพื่อนำไปซื้อวัวที่กำลังจะถูกส่งไปฆ่า หวังว่าเพื่อนๆ ทั้งหลายจะร่วมจิตร่วมใจกันสร้างความดีสักครั้ง       หนึ่งจะดีไหม ไม่รู้ว่าทุกคนจะคิดอย่างไร?"
      เพื่อนนักศึกษาคนหนึ่ง ได้แสดงความคิดเห็นว่า
      "ไม่เห็นด้วย ถ้าทำเช่นนี้เราก็อดใช้เงินน่ะสิ"
      อีกคนหนึ่งก็กล่าวว่า
      "มันเป็นเรื่องของวัว พวกเราเพียงแต่จะมากินเลี้ยงกันเท่านั้นไม่น่าจะไปเกี่ยวข้องเลย"
      ส่วนหนึ่งที่เหลือก็สนับสนุนว่า
      "ใช่แล้ว..ใช่แล้ว ถ้าเอาเงินทั้งหมดไปซื้อวัว วันนี้เราก็อดเลี้ยงสังสรรค์กันน่ะซิ"
       เฉิน ซิง ถั่น นักศึกษาหนุ่มผู้มีจิตใจเมตตา ได้ยินเพื่อนๆพูดเช่นนั้นแล้วเขาก็ยังไม่ละความพยายามที่จะเชิญชวนให้ทุกคนช่วยกันซื้อวัวให้จงได้
      นักศึกษาหนุ่มจึงเสนอขึ้นว่า
      "สำหรับเรื่องกินเลี้ยงไม่ต้องเป็นห่วง ข้าพเจ้ามีความยินดีขอเชิญทุกท่านไปทานอาหารที่บ้านของข้าพเจ้าแทน รับรองว่าจะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังเลย หวังว่าเพื่อนๆ คงจะให้เกียรติและรับน้ำใจของข้าพเจ้าไว้ด้วย"
      ถึงขั้นนี้แล้ว เพื่อนๆทุกคนก็ไม่รู้จะโต้แย้งอย่างไร จึงตกลงยินยอมตามที่ เฉิน ซิง ถั่น ขอร้อง
      พวกเขาทุกคนช่วยกันนำวัวที่ซื้อมาได้ ไปปล่อยที่วัดใหญ่แห่งหนึ่งพร้อมกับถวายเงินที่เหลือให้แก่พระสงฆ์ผู้ให้การดูแล
      เช้าวันรุ่งขึ้น เฉิน ซิง ถั่น ได้เล่าให้ภรรยาฟังถึงเรื่องราวการเรี่ยรายเงินจากเพื่อนและคำสัญญาที่จะเลี้ยงทดแทนพวกเขาทุกคน แต่ในบ้านไม่มีเงินพอ ขณะที่กำลังคิดหาวิธีกันอยู่ ภรรยาของ เฉิน ซิง ถั่นจึงลุกขึ้นกล่าวว่า
      "เกิดเป็นคนต้องมีสัจจะ
      วาจาที่พูดออกไปแล้วต้องทำให้ได้"
      และแล้วทั้งสองก็ช่วยกันขนทรัพย์สินเสื้อผ้ารวมทั้งของใช้ที่มีอยู่ไปจำนำทั้งหมด แล้วนำเงินที่ได้มาจัดเตรียมอาหารอย่างดีไว้เลี้ยงแขก สร้างความพอใจแก่เพื่อนๆทุกคน ตามคำสัญญาที่ให้ไว้
      อีกหนึ่งปีต่อมา หลังจากวันขึ้นปีใหม่ผ่านพ้นไป เฉิน ซิง ถั่น ได้ไปสอบแข่งขันเข้ารับราชการ ผลการสอบของเขาเป็นที่น่าพอใจแก่ทุกฝ่าย นักศึกษาผู้มีน้ำใจดีงามจึงได้ดำรงตำแหน่งเป็นถึง ผู้ตรวจราชการแผ่นดิน
      คนที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจจริง ที่จะช่วยเหลือชีวิตผู้อื่นอย่างไม่ย่อท้อ
      ย่อมนำมาซึ่งวาสนาบารมีและความเจริญรุ่งเรืองแก่ชีวิตตน
      นี่คือ...ผลแห่งเมตตาจิต
      


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

สละเนื้อช่วยนก

ในกาลก่อน เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่บำเพ็ญโพธิสัตว์ธรรม ยังมิได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า     วันหนึ่งพระองค์ได้ทรงทอดพระเนตรเห็นเหยี่ยวตัวใหญ่ที่ผอมโซ กำลังบินไล่ล่านกตัวเล็กๆ หมายจะกินเป็นอาหาร วิหกน้อยหวาดกลัวเป็นอันมาก มันพยายามบินหนีเพื่อเอาชีวิตรอดจนสุดกำลัง ครั้นได้แลเห็นพระบรมโพธิสัตว์ประทับอันอยู่มิไกล นกน้อยตัวนั้นจึงโผบินลงสู่อ้อมอก ของพระองค์ทันที    พญาเหยี่ยวไม่กล้าติดตามเข้าไปใกล้ ได้แต่เฝ้าบินวนอยู่ไม่ไปไหน เมื่อเป็นเช่นนี้ พญาเหยี่ยวผู้หิวโหยจึงพูดขึ้นด้วยความโมโหว่า    "ข้าแต่พระโพธิสัตว์เจ้า!  พระองค์อยากช่วยนกตัวเล็กๆ  แล้วจะปล่อยให้ข้าบาทต้องอดตายหรืออย่างไร?"     พระมหาโพธิสัตว์เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ทรงยิ้มแล้วตรัสแก่พญานกว่า     "ท่านประสงค์จะกินสิ่งใด เพื่อคลายหิวเล่า?"     พญาเหยี่ยวได้ทูลตอบทันทีว่า     "ข้าพระองค์ อยากกินเนื้อเป็นอาหาร"     พระโพธิสัตว์จึงตรัสว่า    " ถ้าเช่นนั้นเรายินดีมอบเนื้อของเรา ให้เป็นอาหารแก่ท่านแทนเนื้อของนกน้อยตัวนี้"     ขณะที่พระมหาโพธิสัตว์กำลังจะตัดเนื้อที

เมตตาธรรมค้ำจุนโลก

     ในสมัยราชวงศ์ หมิง มีนักปฏิบัติธรรมผู้หนึ่ง นามว่า หวง จี่ ซื่อ แม้ว่าในขณะนั้นแผ่นดินจะร้อนระอุไปด้วยเภทภัยรอบด้าน ผู้คนล้มตายลงอย่างน่าอนาถ แต่เขาก็ยังมุ่งมั่นสร้างความดี โดยมิได้หวั่นไหวแม้แต่น้อย      จิตใจของ หวง จี่ ซือ มีแต่ความเมตตาห่วงใย เอื้ออาทรต่อทุกชีวิต เขาทราบว่าบนเขามีพระสงฆ์ผู้ซึ่งบรรลุธรรมสูงสุดสามารถหยั่งรู้ฟ้าดินและเหตุการณ์ความเป็นไปทั้งหลายในโลก หวง จี่ ซือ ผู้บำเพ็ญธรรมจึงเดินทางขึ้นเขาเพื่อขอคำชี้แนะจากท่าน เขาได้กราบนมัสการถามพระอริยสงฆ์องค์นั้นว่า       "ข้าแต่พระคุรเจ้าผู้สูงยิ่งด้วยบารมีธรรม เวลานี้ผู้คนนับล้านล้มตายลงมากมายเนื่องด้วยภัยพิบัตินานับประการ ยากที่จะมีใครรอดพ้นได้ ขอพระคุณเจ้าได้โปรดเมตตาชี้แนะวิธีที่สามารถจะหยุดยั้งมหันตภัยนั้นให้ได้ทันการ ด้วยเถิด"       พระคุณเจ้าผู้เปี่ยมด้วยเมตตา ดวงหน้าของท่านมีรอยยิ้มปรากฎขึ้นพร้อมกับกล่าวว่า      " มีอย่างเดียว...อย่าฆ่าสัตว์! จงช่วยกันปลดปล่อยชีวิตสัตว์ทั้งหลายเถิด"       กล่าวจบ ท่านก็หลับตาลงนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรอีกเลย

กรรมตามทัน

     ในวัดเก่าแก่แห่งหนึ่ง มีสมุดบันทึกเขียนเล่าว่า      ที่มณฑล ซูโจว มีร้านขายบะหมี่ใส่ปลาไหลย่างอยู่ร้านหนึ่ง ฝีมือที่ปรุงรสได้เป็นเลิศของเจ้าของร้านทำให้ขายดีเป็นที่หนึ่ง สาเหตุก็เพราะวิธีย่างปลาไหลที่ไม่เหมือนใคร เขาใช้ปลาไหลเป็นๆปล่อยลงไปบนแผ่นเหล็กที่มีขอบโดยรอบ ปลาไหลที่ถูกเผาจะดิ้นไปมาอยู่บนกระทะเหล็ก ซึ่งตั้งอยู่บนเตาร้อนๆ จนกระทั่งหนังของมันไหม้สุกและหลุดออกไป ปลาไหลต้องทรมานอยู่อย่างนี้จนตาย! เสร็จแล้วจึงถูกนำขึ้นมาสับวางบนบะหมี่ ลูกค้าทั้งหลายที่ติดอกติดใจในรสชาด ต่างพากันมาอุดหนุนจนแน่นร้านทุกวัน      อยู่มาคืนหนึ่งเจ้าของร้านบะหมี่อันลือชื่อได้ออกไปเที่ยวกลางดึกแล้วหายไปไม่กลับมา เช้าวันรุ่งขึ้นลูกๆจึงออกตามหาก็พบว่า เจ้าของร้านบะหมี่ผู้เป็นพ่อกลายเป็นศพลอยมาติดอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเสียแล้ว      ขณะที่ชาวบ้านช่วยกันเอาศพขึ้นจากน้ำ ทุกคนก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นปลาไหลมากมายกัดติดรอบๆเอวของศพเจ้าของร้านขายบะหมี่จนแน่น      ผู้คนที่มามุงดูต่างพูดกันว่าเป็น "กฎแห่งกรรม ทำมาหากินโดยฆ่าผู้อื่น สุดท้าย ก็ต้องตายเพราะถูกเขาฆ่า"