สองสามีภรรยา แซ่เฉิง ทั้งคู่โปรดปรานเนื้อตะพาบน้ำเป็นพิเศษ ครั้งหนึ่งนายเฉิงซื้อตะพาบน้ำตัวใหญ่กลับมาบ้านพร้อมกับสั่งให้คนรับใช้นำไปฆ่าทำเป็นอาหารเย็น เมื่อสั่งเสร็จเขาก็ออกไปทำธุระนอกบ้าน
เด็กสาวคนรับใช้หิ้วตะพาบน้ำไปวางบนเขียงเตรียมลงมือสังหาร แต่แล้วก็กลับคิดว่า
"ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราถูกนายจ้างสั่งให้ฆ่าสัตว์มากมายเหลือเกินแต่ตะพาบน้ำตัวนี้เห็นแล้วช่างน่าสงสารเหลือเกิน นับตั้งแต่บัดนี้ต่อไปเราจะไม่ฆ่าสัตว์ใดๆอีก แม้ว่าจะถูกลงโทษอย่างไรก้อตาม" คิดได้เช่นนี้แล้วเธอก็แอบเอาตะพาบไปปล่อยลงในบึงน้ำใกล้ๆบ้าน
เมื่อนายเฉิงและภรรยากลับมา ได้เรียกให้ยกตะพาบน้ำออกมากิน เด็กสาวคนรับใช้จึงพูดกับนายจ้างว่า
"นายท่าน....ตอนทำครัวข้าพเจ้าไม่ทันระวัง ตะพาบน้ำตัวนั้นหนีไปเสียแล้วเจ้าค่ะ" สองสามีภรรยาได้ยินเช่นนั้นก็เกิดโทสะอย่างแรง นางเฉิงผู้เป็นภรรยาจึงคว้าไม้เฆี่ยนตีคนรับใช้โดยไม่ยั้งมือ เฆี่ยนไปด่าไปจนกระทั่งเหนื่อยจึงเลิกรา
อนิจจา....เด็กหญิงคนรับใช้ ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยรอยถูกเฆี่ยนตี เธออดทนไม่ยอมปริปากพูดอะไร
หลังจากวันนั้นเด็กหญิงผู้น่าสงสาร ก็ล้มป่วยด้วยความบอบช้ำระบมไปหมดทั้งตัวเป็นไข้สูงลมหายใจอ่อนมาก สามีภรรยาผู้เป็นนายจ้างเห็นว่าคงไม่รอดแน่และไม่อยากให้ตายในบ้านของตน ทั้งคู่จึงช่วยกันหามเธอไปวางไว้บนศาลาริมบึงน้ำ เพื่อให้ตายไปเอง
ในคืนนั้นขณะที่เด็กหญิงนอนซมเพราะพิษไข้ก็รู้สึกคล้ายกับมีสัตว์ตัวหนึ่งขึ้นจากบึงน้ำตัวของมันเต็มไปด้วยดินโคลนสีดำมันคลานขึ้นมา แล้วค่อยๆใช้ดินโคลนที่ติดมาทาบนแผลตามร่างกายของเธอจนทั่ว เด็กหญิงรู้สึกเย็นสบายตัวหายใจโล่งความร้อนในตัวลดลง รุ่งเช้าจึงมีกำลังวังชาสามารถลุกขึ้นเดินได้
เจ้าของบ้านผู้เป็นนาย รู้สึกแปลกใจมากที่เด็กรับใช้ซึ่งใกล้ตาย กลับมีอาการดีขึ้นโดยที่ไม่ได้กินยาใดๆ ครั้นสอบถามเธอจึงเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ฟัง นายเฉิงและภรรยาก็ไม่ยอมเชื่อ
ตกกลางดึกคืนนั้น สองสามีภรรยาจึงย่องมาแอบดู ทั้งคู่ถึงกับตกตะลึง! เมื่อเห็นตะพาบน้ำตัวหนึ่งใช้ดินโคลนมาทาบาดแผลให้เด็กรับใช้ของตนจริงๆ
ตั้งแต่นั้นมา นายและนางเฉิงก็รู้สึกเกรงและกลัวจนไม่กล้าสั่งให้เด็กหญิงคนรับใช้ฆ่าสัตว์อีก และไม่กล้ากินเนื้อตะพาบน้ำอีกเลย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น